ตอนที่ 37 วันดี ๆ ของไอ้ขี้โม้
ไม่ป่วยก็แสร้งทำว่าป่วย
ตั้งใจจะรังแกผู้อื่นแต่กลับถูกผู้อื่นกระตุ้นการไหลเวียนของร่างกายเสียแทน
หากไม่ได้รับคำชมก็เท่ากับว่ายังรักษาไม่หาย ยังคงต้องรักษาต่อไป
อาจจะกล่าวได้ว่า “ทักษะการรักษาผู้ป่วย” ของหลิวเฟยนั้นได้บรรลุจุดสูงสุดครั้งใหม่แล้ว
ในฐานะหมอคนหนึ่ง เขาต้องมีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ แต่ในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็มีขอบเขตความอดกลั้นของเขาเหมือนกัน
คนกลุ่มนี้จงใจเข้ามาก่อความวุ่นวาย หากไม่ลองสั่งสอนเสียหน่อยก็เท่ากับว่าพวกเขาเสียเปรียบจนเกินไป
แน่นอนว่าเรื่องนี่ทำให้เขารู้สึกตระหนักขึ้นมาได้จริง ๆ แต่เขาก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าถ้าเกิดทำแบบนี้แล้ว ไอ้หลู่อิงปินยังจะกล้าส่งคนตามมารังควานพวกเขาอีกหรือเปล่า
หลังจากที่ทั้งเก้าคนนั้นและนักข่าวอีกสองสามคนถูกส่งตัวไปที่สถานีตำรวจกันหมด และหลิวเฟยก็ดันได้รักษาคนขึ้นมาฟรี ๆ ชนิดที่แกล้งตบตาคนอื่นได้อย่างแนบเนียน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือตอนนี้คนไข้ที่อยากให้เขาช่วยรักษาให้ยิ่งมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาเขาต้องวุ่นอยู่กับการรักษาคนไข้คนอื่นจนถึงสามทุ่มกว่าจะได้หยุดพัก
โม่อวี้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากสถานีตำรวจ เมื่อเห็นเขานอนแหงนหน้าหมดสภาพอยู่บนโซฟา เธอก็ส่งยิ้มแสนหวานให้เขาแล้วรินชาใส่ถ้วยยื่นไปที่มือเขา “ฝั่งนั้นยอมสารภาพแล้ว พวกเขาโยนความผิดทั้งหมดให้หลู่เจียฮุย ผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมระดับสี่ดาวแห่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการคนนั้นต้องตกเป็นแพะรับบาป”
หลิวเฟยจิบชาแล้วจึงตอบ “คนตระกูลหลู่รับมือกับเรื่องนี้เร็วดีนี่”
โม่อวี้ถอนหายใจพร้อมเอ่ยตอบ “ช่วยไม่ได้ ธุรกิจของพวกเขาใหญ่โต มีเครือข่ายกว้างขวาง พวกเราคงไม่มีปัญญาสั่งสอนเขาได้ง่ายดายแบบนี้หรอก ทำให้พวกเขารู้สึกสะทกสะท้านนิดหน่อยก็ถือว่าเก่งมากพอแล้ว หากหวังจะทำลายคนแบบนี้ให้ราบคาบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
หลิวเฟยยิ้มตอบ “ผมก็ไม่คาดหวังจะกินยักษ์ให้หมดภายในคำเดียวหรอกนะ ทำแบบนั้นมันน่าเบื่อเกินไป ! ”
โม้อวี้เม้มริมฝีปาก จากนั้นก็เดินไปข้างกายเขาแล้วจึงนั่งลงประชิดตัวเขา แล้วพูดอย่างแผ่วเบา “นายมองออกได้ยังไงว่ามีงาและยาแก้อักเสบอยู่ในกองอ้วกโสโครกนั้น ? ทำไมฉันถึงมองไม่ออกกันล่ะ ? อีกอย่างนะ นายก็มีความรู้เยอะดีนี่ สิ่งนี้มีฤทธิ์ข่มกับสิ่งนี้นายก็ยังรู้หมด ! ”
หลิวเฟยเปลี่ยนท่าเป็นนั่งไขว้ขาแล้วพูดอย่างไม่มีหมกเม็ด “นั่นก็เป็นเพราะผมมีสายตาที่เฉียบแหลมใช่ไหมล่ะ ? ที่จริงไอ้พวกเส็งเคร็งนั่นไม่ได้ดูโง่เหมือนอย่างที่เราคิดหรอก ผมยังได้กลิ่นยาตัวอื่นอีกในอ้วกสองกองนั่น ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นกลิ่นยาน้ำกระตุ้นการย่อยอาหาร หากไม่ใช่เพราะจมูกของผมไวต่อการได้กลิ่นล่ะก็ เกรงว่าการดมกลิ่นงาและกลิ่นยาอักเสบได้นั้นคงจะยากเกินไป”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “และหลังจากที่พวกเขาถูกส่งไปโรงพยาบาล ถึงตอนนั้นกระเพาะของพวกเขาคงจะย่อยไปได้พอสมควรแล้ว หมออาจจะต้องทำการล้างกระเพาะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะตรวจหาสารอาหารที่มีฤทธิ์ขัดกันก็คงจะยากขึ้นไปอีก อีกอย่างอาหารที่พวกเขากินไปก็ตีกันจนมั่วไปหมด อาจทำให้เกิดความสับสนว่าสิ่งไหนเป็นตัวการที่ทำให้อาหารเป็นพิษ ถ้าหากว่าตรวจไม่ละเอียดมากพอจริง ๆ เหตุการณ์อาหารเป็นพิษครั้งนี้อาจจะตกลงบนหัวของโรงแรมก็ได้ และเมื่อสื่อได้แพร่ข่าวนี้ออกไป ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงจนคาดไม่ถึง”
เมื่อได้ยินเขาวิเคราะห์แบบนี้ออกมาให้ฟัง โม่อวี้ก็ยิ่งเกิดความนับถือในตัวเขา
เธอจึงดึงเขาเข้ามาจับด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับพูดออกมา “ตกลงนายเป็นใครกันแน่ ? สุดยอดจริง ๆ ! นายรู้อะไรไหม ? เมื่อฉันได้รายงานเรื่องนี้ให้ผู้จัดการซวี่รู้ เขาถึงกับเอ่ยปากจะรับนายเข้าเป็นรองผู้จัดการของโรงแรมเราเสียด้วยซ้ำ นายกล้าตอบรับรึเปล่า ? ”
หลิวเฟยก้มลงมองมือที่ดูขาวนุ่มนวลของโม่อวี้ เมื่อเห็นเธอไม่ได้มีเจตนาจะปล่อย เขาจึงยิ้มแล้วพูดต่อ “รับผมเป็นรองผู้จัดการงั้นหรือ ? จะให้ผมมากินข้าวฟรี ๆ หรือไง ? ผมนอกจากจะรักษาคนไข้ได้ ก็ทำได้แค่ชกต่อยกับคนอื่น ผมบริหารอะไรไม่เป็นหรอก”
โม่อวี้ส่ายหน้าแล้วพูด “เห้ย.....คนหลงตัวเองอย่างนายจู่ ๆ ก็ถ่อมตนขึ้นมาได้ ? ผู้จัดการซวี่บอกว่าหากคนที่มีทักษะทางด้านการแพทย์อย่างนายได้มีที่นั่งอยู่ตรงล๊อบบี้ของโรงแรม จะให้คำปรึกษาหรืออะไรก็แล้วแต่ ผลประกอบการของโรงแรมก็จะดีอย่างก้าวกระโดดแน่ ๆ ”
อ้อ....ที่จริงก็มีแผนแบบนี้เองสินะ
หลิวเฟยก็จนปัญญาที่พูดจริง ๆ !
หากว่าเขาอยากจะเอาอาชีพหมอมาเป็นงานหลักในการดำรงชีพ ป่านนี้เขาก็คงตอบรับคำเชิญของหลี่เจิงอีไปเป็นหมอที่โรงพยาบาลใหญ่ประจำเมืองเฟิ่งหวงไปเสียก็สิ้นเรื่อง จะมาลำบากดิ้นรนอย่างนี้อยู่ทำไม ?
เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็แยกเขี้ยวยิ้มใส่เธอ “ไม่ต้องพูดแล้ว ผมก็ซาบซึ้งในความหวังดีของพวกคุณนะ เพียงแต่ว่า ผมไม่เหมาะจริง ๆ ! ตอนที่โรงแรมมีเรื่องขึ้นมาให้ผมช่วยจัดการเป็นครั้งคราวไปก็พอรับไหว บอกตามตรงว่าถ้าจะให้ทำจริง ๆ ผมยังคงอ่อนหัดมาก เหมือนเด็กยังไม่โตเลยแหละ ! ”
โม่อวี้เจียดยิ้มเบ่งบานราวกับดอกไม้แล้วพูด “นายยังไม่โตหรอกหรือ ? ดูไม่เหมือนเลยนี่ หรือว่าให้ฉันช่วยตรวจให้ไหม ? ”
พูดจบเธอก็เอื้อมมือไปปลดเข็มขัดของเขา
หลิวเฟยรีบเอามือมาป้องไว้เสียก่อน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผู้จัดการโม่ครับ ผมขายทักษะไม่ได้มาขายตัว ได้โปรดให้ความเคารพกันด้วย ! ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
โม่อวี้เอามือทาบหน้าอกแล้วหัวเราะร่าออกมา เธอกำหมัดแล้วต่อยเขาเบา ๆ “นายนี่มันเป็นคนบ๊องขั้นสุด เป็นหมอสารเลว เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอย่างว่า ตลกจนใครเห็นต้องหัวเราะแบบไม่คิดชีวิต ! ”
“คำชมสองอันก่อนหน้านี้พอรับได้นะ แต่จะบอกว่าเชี่ยวชาญเรื่องอย่างว่า ผมก็คงจะไม่เชี่ยวชาญเท่าผู้จัดการโม่มั้งครับ” หลิวเฟยรีบตอบ
“ไอ้คนเลว”
“ขอตัวก่อนนะ ! ”
“เฮ้ย.....เดี๋ยว”
เธอมองตามชายหนุ่มที่รีบปลีกตัวออกไป จากนั้นก็แอบหัวเราะเสียงเบาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัว “ทำไมฉันไม่รู้จักนายให้เร็วกว่านี้กันนะ ? ”
........
เวลาหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปรวดเร็วในชั่วพริบตา
หลู่อิงปินก็ไม่ได้ส่งคนมาก่อความวุ่นวายที่โรงแรมซันริชอีก ทว่าหลิวเฟยและโม่อวี้ต่างก็รู้ดีว่าทุกอย่างสงบลงแค่ผิวเผินเท่านั้น ภายใต้ความสงบยังมีความโกรธแค้นที่คุกกรุ่นอยู่ตลอดเวลา คนอย่างหลู่อิงปินจะไม่มีทางปล่อยเขาออกจากกรงเล็บง่าย ๆ หรอก เจ้าหมอนั่นคงกำลังคิดแผนการอะไรชั่วร้ายอยู่แน่ ๆ
เมื่อชาวบ้านเห็นสิ่งที่หลิวเฟยปลูกทั้งสองอย่างเจริญเติบโตงอกงาม ชาวบ้านหมู่บ้านหลิวก็เอามาพูดคุยถกเถียงกัน และยังมีหลายคนถึงกับไปสอบถามเขาโดยตรงถึงหัวกระไดบ้าน
นั่นก็เป็นโอกาสเหมาะพอดีที่ให้หลิวเฟยได้แสดงทักษะ “ขี้โม้” ของตนออกมา เขาโม้ได้เป็นบ้าเป็นหลัง บ้างก็ว่าเป็นพืชที่ตนตัดแต่งพันธุกรรมและเพาะมาเองกับมือ บ้างก็ว่าเป็นเพราะทำสภาพแวดล้อมของูเขาไห่หมิงทำให้มันงดงามได้ถึงเพียงนี้
ชาวบ้านต่างก็ถูกควันขี้โม้ของหลิวเฟยพัดไปก็พัดมา พัดจนหลงทิศหลงทางไปหมด
และวันนี้ หลิวเฟยก็กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าโรงเรือนทั้งสามเพื่อแนะแนววิธีการเพาะปลูกเมล็ดพันธ์ให้แก่ชาวบ้าน หลิวอี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวก็ถูกลากให้ติดสอยห้อยตามมาอย่างไม่เต็มใจ
หลิวเฟยเหลือบไปมองพวกเธอ จากนั้นก็ชิงพูดก่อน “ช่วงนี้ฉันทุ่มเทให้กับการปลูกพืชทั้งสองอย่างนี้มาก ไม่ได้ทำอะไรไม่ถูกจริตคุณป้าทั้งสองเลยสักนิด”
หลีอวิ๋นโหรวพูด “อย่ามาพูดมาก พวกเรารู้แล้วว่าไอ้ที่นายกำลังปลูกนี่อันหนึ่งเป็นพืชตระกูลสน ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นหญ้าเก้าชีวิต ! นายมันร้ายกาจ โกหกพวกเราสนุกมากนักหรือไง ? ”
หลิวเฟยทำหน้าใสซื่อบริสุทธ์ “ฉันไปโกหกเธอตอนไหน ? ”
“แล้วทำไมนายถึงบอกว่ามันเป็นหญ้า ! ”
หลิวเฟยขยับแว่นลงต่ำจากนั้นจึงเอ่ยตอบ “คุณหลีครับ ตอนแรกเริ่มเป็นคุณเองนะที่บอกว่ามันเป็นหญ้า....จบนะ ? ผมไม่เคยบอกสักครั้งว่ามันเป็นหญ้า”
หลี่อวิ๋นโหรวพูดอย่างรู้สึกละอาย “ถ้างั้น.....ถ้างั้นนายก็ควรแก้ให้ถูกต้องเสียตอนนั้นสิ......”
“เธอมีสิทธ์ที่จะเข้าใจผิดโดยที่ฉันก็ไม่ได้มีธุระที่จะต้องไปอธิบายอะไรทั้งนั้น ! ”
“นาย ! ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ......” หลิวอวี้เหลียนหัวเราะอย่างนั้นก็เข้ามาร่วมวงด้วย “พี่เฟย พี่นี่มันเลวเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ ! ต้นสนนั้นโตห้าหกเมตรภายในไม่กี่สิบวัน หญ้าเก้าชีวิตนั่นก็เขียวขจีและก็โตมากอีกด้วย พี่อยากจะปกปิดแต่ก็ปิดไม่มิดแล้วใช่ไหม ? ฉันและหลี่อวิ๋นโหรวไปหามาแล้วในเน็ต หญ้าเก้าชีวิตอะไรนั่นราคาแพงใช้ได้เลย พี่ปลูกเสียเยอะขนาดนี้ คงจะใกล้เป็นเศรษฐีแล้วสินะ ? ฉันว่าแล้วว่าพี่ต้องคิดการใหญ่อะไรบางอย่าง แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่บ้านหาว่าฉันหลงพี่เกินไป มองอะไรในตัวพี่ก็ดีเลิศไปหมด และตอนนี้ฉันก็ทายถูกจริง ๆ สินะ ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลิวเฟยก็ยิ้มออกมา ตอนที่เพาะเมล็ดพันธุ์ของต้นสนและหญ้าเก้าชีวิต เขาก็ยังจะพอปิดบังได้ แต่เมื่อต้นไม้ยิ่งโตวันโตคืนก็ทำให้ยากที่จะปกปิด แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอะไรทั้งสิ้น เขาก็อยากบอกความจริงให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาไม่ใช่ตัวล้างผลาญตระกูลเหมือนที่หลายคนกล่าวหากัน
เขาชี้ไปยังภูเขาที่ทอดยาวออกไป “ถูกต้อง ฉันติดต่อช่องทางในการขายเรียบร้อยแล้ว หญ้าเก้าชีวิตที่ฉันปลูกเองก็ขายได้มากถึงกิโลละ 70 หยวน รอบแรกที่ปลูกไป 5 หมู่สามารถนำไปขายในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว ส่วนรอบสองที่เพิ่งลงเมล็ดพันธุ์ไปไม่กี่วันก็อาจจะต้องรออีกสิบวันเป็นอย่างต่ำ”
“กิโลละ 70 หยวนเลยหรือ ? ”
เมื่อหลี่อวิ๋นโหรวและหลิวอวี้เหลียนได้ยินราคาที่สูงขนาดนี้ก็ตะลึงทึ่งไปตาม ๆ กัน เพราะราคาที่พวกเธอค้นเจอในอินเทอร์เนตนั้นไม่แพงเท่านี้ หรือว่าเขากำลังขี้โม้อยู่รึเปล่า ?
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น หากพวกเธอไม่เชื่อก็รอให้ฉันขายให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาพิสูจน์กัน”
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่แค่รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อจนเกินไป ที่พวกฉันไปหามาหญ้าเก้าชีวิตมันใช่เวลาเติบโตตั้งหลายปี ยิ่งปลูกนานเท่าไรมูลค่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พี่ปลูกแค่ไม่กี่สิบวันเอง ทำไมถึงแพงได้ขนาดนั้น ? ” หลิวอวี้เหลียนถาม
“หากว่าผลักดันเข้าสู่ท้องตลาดจริง ราคาก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นอีก ! แต่จะว่าไปฉันพูดอะไรตอนนี้ก็ยังฟังดูเหลวไหลเกินไป ! แน่นอนว่าพวกเธอต้องการจะเคารพนับถือฉันเป็นพระเจ้าล่ะก็ ฉันก็จะทำใจบังคับตัวเองให้ยอมรับยากนะ”
“อุแหวะ ! ฉันไม่เคยเห็นใครหลงตัวเองได้เท่านายอีกแล้ว ! ก็ได้....ในเมื่ออยากเล่นตลกนักละก็ ไว้พรุ่งนี้เรามาเจอกัน แล้วฉันจะคอยดูว่านายจะขายได้ในราคาอย่างที่นายแอบอ้างหรือเปล่า”
หลี่อวิ๋นโหรวพูดข่มใส่เขา สีหน้าของเธอแดงเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขินอาย เพราะเมื่อก่อนเธอเรียกหญ้าเก้าชีวิต สมุนไพรที่แพงหูฉี่ขนาดนั้นว่าหญ้า ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ
หลิวอวี้เหลียนยิ้ม จากนั้นก็หันไปมองหลิวเฟยแล้วพูด “พี่ปลูกหญ้าเก้าชีวิตแล้วขายได้ราคาสูง ฉันก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ว่าต้นสนที่หมู่บ้านเราก็มีไม่น้อย แล้วก็ขายไม่คุ้มราคาเลย พี่ปลูกไปทำไมเยอะแยะ ? ”
“ก็ไม่ได้เยอะอะไรสักหน่อย รวมแล้วก็ปลูกไปแค่สองสามหมู่ก็เท่านั้นเอง อันนี้ไม่ได้ปลูกไว้เพื่อขาย”
“ถ้างั้นจะปลูกไปทำไมกัน”
“ถ้าหากพวกเธอทายถูก ฉันก็ไม่ใช่หลิวเฟยสิ ? ”
“ชิชะ ! ”
หลิวอวี้เหลียนถอยกลับไปสองสามก้าว จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วต่อยเขาไม่ยั้งมือ หลิวเฟยรีบหยุดยั้งหมัดของเธอ “พอแล้ว ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะบอกสักเท่าไร ครั้งนี้ฉันได้ปลูกอะไรใหม่ ๆ ในโรงเรือนทั้งสามนี้ด้วย สายกินอย่างเธอคงต้องชอบมากแน่ ๆ ตั้งหน้าตั้งตารอก็แล้วกัน”
หลิวอวี้เหลียนจับแขนของเขาไว้แน่น จากนั้นก็ทำหน้ามุ่ยใส่เขาแล้วพูด “มายั่วให้อยากรู้แล้วไม่บอกนี่สนุกมากใช่ไหม ? พี่ก็บอกกันหน่อยสิ ! ”
หลิวเฟยยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ “เอ่อ อันนี้.....เป็นเพราะฉันไม่รู้ว่ามันจะได้ผลเหมือนอย่างที่คิดไว้ไหม ก็เลยไม่พูดเสียก่อนดีกว่า ฉันก็เป็นแบบนี้ของฉันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำก่อนแล้วค่อยพูด เธอก็น่าจะชินไปตั้งนานแล้วนะ ! ”
“เชอะ ! ”
หลิวอวี้เหลียนถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก หลี่อวิ๋นโหรวแอบชายตาไปมองหลิวเฟย ก็รู้สึกว่ายิ่งรู้จักก็ยิ่งค้นพบว่าเขาไม่เหมือนใคร ชอบทำอะไรที่ชาวบ้านเขาคิดไม่ถึงตลอด....
วัดถัดมา ชาวบ้านหมู่บ้านหลิวต่างก็ยุ่งจนมือเป็นระวิง เพราะหลิวเฟยได้เกณฑ์พวกเขามาเก็บหญ้าเก้าชีวิต แล้วเอาไปตากแห้ง สองวันให้หลังค่อยเอาไปขายที่ร้านยาในเมืองเฟิ่งหวง
เมื่อเถ้าแก่ร้านยาเห็นหญ้าเก้าชีวิตเต็มกอบเต็มกำแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ คราก่อนต้องอ้อนวอนสุดชีวิตเพื่อที่จะได้เซ็นสัญญาการซื้อขาย และในวันนี้หลิวเฟยก็ได้มีโอกาสลิ้มรสการเป็นเจ้าใหญ่นายโตอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อกลับถึงบ้าน ก็มีชาวบ้านมายืนรออยู่เต็มลานบ้านของเขา หลิวเฟยสะพายกระเป๋าแล้ววางลงในขณะที่มีชาวบ้านล้อมรอบ “กิโลละ 70 หยวน ทั้งห้าหมู่ขายได้ 36,000 กว่าหยวน เฉลี่ยแล้วหนึ่งหมู่ขายได้ 7,000 กว่าหยวน ชาวบ้านที่เคารพรักทุกท่านครับ ผมขอถามหน่อย ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนเป็นพวกคุณ พวกคุณจะยอมถอนต้นกล้าทั้งหมดทิ้งแล้วสร้างโรงเรือนเพื่อเพาะเมล็ดพืชพวกนี้หรือไม่ ? ”
เมื่อชาวบ้านได้ยินเช่นนี้แล้วรู้สึกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้ามากลางวง ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ชาวบ้านคนหนึ่งก็ได้โพล่งพูดออกมา “ไอ้หลิวเสเพล ยังจะขี้โม้อีกหรือ ? หนึ่งหมู่ขายได้ 7,000 มีนายเท่านั้นและที่บ้าบิ่นคิดแบบนั้น นายคิดว่าคนเราจะกล้าบ้าบิ่นได้ขนาดนั้น ที่หย่อมหนึ่งจะผลิตออกมาได้เท่าไรเชียว ? แล้วอีกอย่างนะ นายเพิ่งจะปลูกได้กี่วันเอง ? เพิ่งจะสิบกว่าวัน ! นายคิดว่าบ้านนายผลิตเงินใช้เองหรือไง ? ยังมีอีกอย่าง ไอ้เงินกองนี้มันใช่กองที่นายจะใช้สำหรับจ่ายเงินสดให้พวกเราหรือเปล่า ? เงินนี้เป็นเงินที่นายถอนมาจากธนาคารหรือเปล่า ? หยุดเหลวไหลได้แล้ว เดี๋ยวโป๊ะแตกชาวบ้านเขาจะหัวเราะให้ฟันหลุดเอา ! ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหลิวเฟยก็เกาหัว จากนั้นก็ยิ้มอย่างละอาย “รู้เยอะดีนี่ เป็นผมที่ขี้โม้เอง แต่ขอร้องล่ะ ช่วยไว้หน้ากันหน่อยจะได้ไหม ? ”