ตอนที่ 38 เผชิญหน้า
“นายอึ้งทำไม ถ้ามีกระเป๋ามิติ แม้แต่รถถังหรือเครื่องบินก็สามารถเอามาได้ ” จ้าวเมิ่งซียิ้มออกมา
“ฉันล่ะอิจฉาเธอจริง ๆ ได้ยินมาว่าพ่อของเธอน่ะหวงลูกสาวเอามาก ๆ ถ้าเธอกลับไป ลองถามพ่อของเธอหน่อยว่าจะรับฉันเป็นลูกเขยรึเปล่า ฉันคิดว่าฉันน่าจะดีพอ” หวังเย่าพูดขึ้น
จ้าวเมิ่งซีกลอกตาใส่ สมองของหวังเย่าคงกระทบกระเทือนแน่ ๆ ถึงได้กล้าคิดแบบนี้ ผู้หญิงสวย ๆ แบบเธอน่ะสูงส่ง แล้วเธอจะมาสนใจคนแบบเขาทำไมกัน ?
แต่เธอก็ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ต่อและพูดขึ้นมาว่า “จริง ๆ แล้วสิ่งนี้มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากนักสำหรับฉัน เพราะสิ่งที่ฉันพอใจที่สุดคือเมื่อไม่กี่วันก่อนพ่อของฉันได้เอาของขวัญพิเศษให้กับฉัน และฉันก็พอใจกับมันมากทีเดียว”
“ของขวัญแบบไหนกัน ? ” หวังเย่าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
จ้าวเมิ่งซียิ้มออกมา “เดี๋ยวนายก็รู้เอง ตอนนี้จับตาดูสถานการณ์ไปก่อน ยังไงซะนี่ก็ถือว่าเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของเรา”
การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญเป็นอย่างมาก
ตอนนี้หมีป่าเริ่มที่จะโจมตี เมื่อคิดรวมกับขนาดของมันแล้ว พวกครูคงไม่อาจจะหยุดมันได้เพียงลำพัง เขาได้แต่ต้องสั่งให้นักเรียนมารวมตัวกันและถอย พร้อมกับติดต่อไปยังเมืองเพื่อขอกำลังสนับสนุน
ครู 9 คนได้ขี่สัตว์อสูรของตัวเองพร้อมกับอาวุธเตรียมตัวที่จะเข้าโจมตี
สัตว์อสูรพวกนี้เป็นสัตว์อสูรระดับสูง สัตว์อสูรที่ระดับต่ำที่สุดคือสัตว์อสูรของครูหยาง ที่เป็นแพะสีเทาซึ่งมีเขาอันแหลมคม ความเร็วของมันไม่ต่างอะไรจากรถยนต์เลย ด้วยความเร็วและเขาที่แหลมคมของมันก็เพียงพอจะสร้างความเสียหายได้
หมีตัวนี้มีสามแขนสามขา มันลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้ขาหน้าตบเข้าใส่นกไฟของครูห้อง 2 แต่มันก็ยังโดนไฟจากนกเผาไปที่ผิวหนังของมันด้วย มันยังไม่ทันได้ตั้งตัวหลังจากนั้นแพะก็ได้วิ่งเข้าชนมันจนทำให้หมัดของมันเกิดบาดแผลที่เป็นรูลึกสองรูขึ้นมา
ตอนนั้นครูประจำชั้นก็ได้สั่งให้เม่นของตัวเองโจมตี เม่นได้วิ่งออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่หน้าของหมียักษ์
หมีนั้นทั้งตกใจและโกรธอย่างมาก มันยกอุ้งมือขึ้นเพื่อจะฟาดเม่นให้กลายเป็นเศษเนื้อ
จากนั้นเม่นก็ได้ยิงหนามที่หลังของมันออกมา มันราวกับพายุเข็มที่พุ่งกระหน่ำลงมาจากฟ้าและมีหลายอันที่พุ่งเข้าใส่ตาของหมียักษ์
หมีรีบใช้มือปิดตาของมันทันที เมื่อเห็นโอกาส เม่นก็รีบพุ่งไปที่มือของหมีก่อนจะอ้าปากกัดลงไปอย่างรวดเร็ว
หมีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่มันจะใช้มืออีกข้างจับหางเม่นเอาไว้ แล้วดึงเม้นออกจากตัวมันก่อนที่จะโยนเม่นออกไปไกลกว่า 10 เมตรจนอัดกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง
ครูคนอื่น ๆ เห็นแบบนั้นก็ใจสั่น เพราะพวกเขาได้สั่งสัตว์อสูรของตัวเองเข้าโจมตีหมีเอาไว้เพื่อให้มันคุ้มคลั่งและเป็นการถ่วงเวลา สุดท้ายหมีก็ไม่ได้สนใจสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ และสนใจแต่นกไฟที่ยิงลูกไฟลงมา เพราะยังไงซะนกตัวนี้ก็น่ารำคาญที่สุด
นกไฟตัวนี้เกือบตายด้วยอุ้งมือของหมียักษ์ มันกลัวจนบินหนีขึ้นสูงกว่า 200 เมตรและไม่กล้าจะยิงลูกไฟลงมาอีก แม้ว่าหมีจะตัวหนัก แต่มันก็สูงถึง 40 เมตร แค่กระโดดเบา ๆ ก็อาจจะจับนกไฟได้แล้ว
การต่อสู้กินเวลาไปกว่า 5 นาที หมีนั้นสร้างความเสียหายให้แก่สัตว์อสูรและเหล่าอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย สุดท้ายมันก็คำรามออกมาและคิดที่จะหนีไป แต่ตอนนั้นกลับมีเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังมาจากบนหัวของมันพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นมา
หวังเย่ามองขึ้นไปตามเสียงและพบว่าสูงขึ้นไปหลายร้อยเมตรนั้นมีเครื่องบินรบลำหนึ่งบินเข้ามา ด้านบนมีผู้ใช้อสูร 3 คน ทั้งสามต่างก็พากันมองไปที่หมีตัวนั้นด้วยสายตาที่ตื่นเต้น
รถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาในลานพร้อมกับยิงลำแสงเข้าใส่หมี
ไม่นานหลังจากนั้นครูทั้งสิบคนโดยเฉพาะครูประจำชั้นห้องสองที่ได้รับบาดเจ็บกลับมาไม่ใช่น้อย พวกเขาจำเป็นต้องพักเพื่อฟื้นฟูตัวเอง
หวังเย่าไม่พอใจนิด ๆ เขาตั้งใจจะดูว่าหมีตัวนี้จะโดนฆ่ายังไง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีโอกาสเห็นแล้ว
ทั้งสองได้กลับไปรวมกลุ่มกับนักเรียนคนอื่น ๆ เหลิ่งจื่อมู่เมื่อเห็นแบบนั้นก็มีสีหน้าที่บิดเบี้ยวไป เขาถึงกับอยากสั่งให้สัตว์อสูรเข้าไปโจมตีหวังเย่าซะตรงนี้
การต่อสู้ที่นี่ดึงดูดความสนใจของสัตว์อสูรโดยรอบ พวกเขายังไม่ทันได้นอนพัก ก็ต้องเปลี่ยนที่ตั้งแคมป์กันใหม่
ครูประจำชั้นได้นำทุกคนออกไปทันที
ระหว่างทาง เหลิ่งจื่อมู่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “ครู สัตว์อสูรนั่นอยู่ ๆ มันก็โผล่มาที่นี่ได้ยังไง พื้นที่แถบนี้ค่อนข้างปลอดภัยไม่ใช่หรือ ? ”
“เรื่องนี้ครูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การที่สัตว์อสูรตัวใหญ่แบบนั้นมาในพื้นที่ใกล้เมืองเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่.... ”
หวังเย่าพูดขึ้น “ครู ผมรู้เหตุผล หมีตัวนั้นคือหมีป่ายักษ์ ครูอาจจะไม่รู้ แต่ที่ท้องด้านข้างของมันได้รับบาดเจ็บ เดาว่ามันคงหนีเอาตัวรอดมาที่นี่ มันน่าจะมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าไล่มันออกมาจากอาณาเขตของมันเองจนต้องหนีมาที่นี่ แต่เมื่อมันได้กลิ่นคน มันจึงเริ่มโจมตี”
“ฮ่าฮ่า นี่หรือเหตุผลของแก ? นี่แกตาบอดหรือเปล่า ? ” เหลิ่งจื่อมู่ประชดขึ้นมา
ครูประจำชั้นคิดตามและพูดขึ้น “ฉันกลัวว่ามันอาจจะจริง พวกเธอคงไม่เห็นว่าแขนตรงข้างท้องของมันไม่ได้ทำการโจมตี มันเอาแขนข้างนั้นกดที่ท้องตัวเองเอาไว้ คิดว่ามันน่าจะได้รับบาดเจ็บและหนีมาที่นี่ และมันคงหิวมากถึงได้มาโจมตีเรา”
หวังเย่าพยักหน้า “อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะพวกครูที่หยุดมันเอาไว้ ผมว่าเราคงตายกันหมดแล้วกว่ากองทัพจะมา ด้วยความสามารถของมันแล้ว ตราบใดที่เรายังอยู่ในระยะ 20 ฟุต มันก็สามารถสูบเราเข้าไปได้ พวกเราไม่อาจจะหนีได้เลย”
เหลิ่งจื่อมู่เหมือนโดนชิงบทเด่นไป เขาทำเสียงฮึดฮัดและพูดขึ้น “แกรู้ได้ยังไง ? สัตว์อสูรตัวนี้ไม่ได้มีไว้ในบันทึกนี่”
ตอนนั้นจ้าวเมิ่งซีก็อดไม่ได้ที่จะเถียงขึ้นมา “เหลิ่งจื่อมู่ นายนี่ไม่รู้จักเรียนรู้เลยจริง ๆ นายรู้จักแค่สัตว์อสูรในหนังสือที่ได้เรียนเท่านั้นหรือ มันมีหนังสือมากมายที่บันทึกเกี่ยวกับสัตว์อสูร เพราะยังไงซะพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกก็ล้วนแตกต่างกันออกไป มันต้องมีสัตว์อสูรกลายพันธุ์มากมายที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ นอกจากนี้แล้วถึงจะไม่ใช่สัตว์อสูรที่เพิ่งกลายพันธุ์ แต่ถ้าเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีในหนังสือบันทึกที่นายเรียนมา อย่างงี้นายจะรู้จักมันไหม ? ”
“พูดเหมือนกับเธอรู้ งั้นเธอบอกมาสิว่าหมีตัวนั้นมีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มไหน ? ” เหลิ่งจื่อมู่อดไม่ได้ที่จะถามกลับ
จ้าวเมิ่งซีพูดขึ้น “หนังสือของเล็กซ์เล่มที่ 9 มันมีบันทึกเอาไว้อยู่ เขาได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาปีละเล่ม มันบันทึกเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่เขาเจอมาในปีนั้น ”
ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเหลิ่งจื่อมู่ก็หม่นลง แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ไม่ได้อ่านหนังสือของอีกฝ่ายมากนัก เขาหน้าแดงเพราะความอายและรีบก้มหน้าทันที
หวังเย่าหันไปมองก่อนจะส่ายหน้าแล้วพึมพำออกมา “ทำไมฉันรู้สึกเหมือนว่าจ้าวเมิ่งซีกำลังปกป้องฉันอยู่กันนะ”