ตอนที่ 39 ไม่ฉันก็แกที่ต้องตาย
สองวันให้หลัง
ในขณะที่หลิวเฟยกำลังสำรวจการเจริญเติบโตของต้นอ่อนสมุนไพรอยู่นั้น ทันใดนั้นเขาก็ได้รับข้อความหนึ่งข้อความ
เมื่อเห็นข้อความแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในบัดดล และเขาก็รีบรุดเข้าไปที่บ้านของหลิวอวี้เหลียนในทันที
หลิวเทียนป้าที่กำลังเล่นไพ่นกกระจองกับมิตรสหายสองสามคนเมื่อเห็นหลิวเฟยเดินเข้ามาก็ยิ้มต้อนรับ “ไอ้ลูกเขย มามา มา มาลงขันสักหน่อย ตานี้ฉันกำลังดวงขึ้นพอดี อีกอย่างช่วงนี้นายก็มีตังค์เยอะนี่ ไม่ลงสักหมื่นหยวนเอาใจพ่อตาหน่อยหรือ ? ”
“เอาใจผีอะไรเล่า ! ”
หลิวเฟยไม่ยอมพูดพร่ำทำเพลง เขาดึงประตูแล้วก็เปิดออกในทันที หลิวเทียนป้าเมื่อเห็นอย่างนั้นก็เริ่มรู้สึกโมโห “ไอ้บ้านี่ นายเป็นประสาทอะไรฮะ ฉันเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้วนะ.....”
หลิวเฟยกวาดสายตาไปมองรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นเจ้าตัวก็เลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขึงขัง “อวี้เหลียนล่ะ ? ”
“ไปตลาดนัด”
“ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
“แม่สาวนั่นไปตลาดนัดทีไรก็ไปเที่ยวเตร่เต็ม ๆ วันหนึ่ง มีอะไรรึเปล่า ? ”
หลิวเฟยเอามือประคองหน้าผาก จากนั้นก็ส่งโทรศัพท์ไปให้หลิวป้า เมื่อหลิวป้าเห็นอย่างนั้นก็พลันมีอารมณ์ดุเดือดขึ้นมาจะเขวี้ยงโทรศัพท์เขาจนแตกกระจุยให้ได้ แต่หลิวเฟยก็แย่งกลับมาได้ทันเวลา “อย่าโวยวายก่อน ไอ้หลิวเป้านั้นเป็นใคร ลุงก็ยังไม่รู้เลย ไอ้หมอนั้นมันจะทำเรื่องชั่ว ๆ อะไรออกมาก็ได้ ! ”
หลิวเทียนป้าขบฟันดังกรอดแล้วพูดออกมา “ไอ้บ้าเอ้ย มันกล้าดียังไงมาเล่นงานฉัน กล้าดียังไงมาเรียกค่าไถ่ลูกสาวฉัน ฉันจะเอาคนไปทำลายล้างมันให้สิ้นซาก”
หลิวเฟยส่ายหัวแล้วพูด “ผมรู้ว่าลุงเป็นห่วงอวี้เหลียน ผมเองก็เป็นห่วงเธอไม่น้อย แต่ตอนนี้พวกเราใจเย็นกันก่อน โอเคไหม ? ในข้อความมันก็บอกชัดอยู่แล้วว่าให้ผมไปแค่คนเดียว ถ้าหากว่าแจ้งความหรือมีคนอื่นติดตามไปด้วย อวี้เหลียนก็จะถูกฆ่า ! ไอ้บ้านั่นมันโหดเหี้ยมเข้ากระดูกดำ หากไม่ทำตามที่มันบอก ผมกลัวว่าอวี้เหลียนอาจจะต้องตายขึ้นมาจริง ๆ ”
“ถ้างั้นจะให้ทำไง ? นายจะไปคนเดียวจริง ๆ หรือ ? ” หลิวเทียนป้าถาม
“ที่ผมมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อหารือ แต่จะมาบอกว่าถ้าคืนนี้ก่อนสามทุ่มหากผมและอวี้เหลียนยังไม่กลับมา ให้ลุงไปแจ้งความทันที ! เรื่องนี้มันมีสาเหตุมาจากผมเอง ลุงสบายใจได้ ผมจะทุ่มสุดแรงที่ผมมีเพื่อที่จะไม่ให้อวี้เหลียนได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย” หลิวเฟยให้คำมั่น
หลิวเทียนป้าขมวดคิ้วเป็นปมแล้วพูดต่อ “ไม่ได้ ถ้าเกิดนายพลาดขึ้นมาจะทำยังไง ? หากอวี้เหลียนได้รับบาดเจ็บขึ้นมา นายจะให้ฉันทนเห็นลูกฉันตายก่อนฉันหรือไง ? ”
“ผมจะไม่พลาด ! ” หลิวเฟยยืนกรานอย่างหนักแน่น
“นายบอกว่าจะไม่พลาดแล้วมันจะไม่พลาดขึ้นมาจริง ๆ เสียที่ไหน ? ไอ้พวกนั้นอาจจะเอาปืนจ่อหัวนายอยู่ก็ได้”
“ผมเคยผ่านกระสุนปืนมาก่อน”
พูดจบ เขาก็เลิกเสื้อเชิ้ตออกให้หลิวเทียนป้าดู หลิวเทียนป้าก็ได้เห็นรอยแผลจากกระสุนบนหลังหลิวเฟยสองสองรอย เขาได้ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “นี่....เจ็ดปีที่ผ่านมานี้นายไปทำอะไรมากันแน่ ? ”
“ตอนนี้เป็นสถานการณ์เร่งรีบ ผมไม่มีเวลามาเล่าความหลังอะไรมากนักหรอก อวี้เหลียนคงจะบอกใช่ไหมว่าผมสู้คนเป็น ? ตอนนี้ไม่ว่าจะยังไงก็ตามลุงต้องเชื่อใจผม และเรื่องนี้ไม่ควรเปิดเผยให้คนรู้ในตอนนี้ ” หลิวเฟยพูด
หลิวเทียนป้าแอบลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็ตบบ่าเขาแล้วจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เสี่ยวเฟย ฉัน หลิวเทียนป้า ไม่เคยต้องขอร้องใครมาก่อนในชีวิต แต่ว่าครั้งนี้นายต้องช่วยให้อวี้เหลียนกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ ฉันมีแค่ลูกสาวคนเดียวเท่านั้น แม่เธอก็ดันมาเสียก่อนวัยอันควรอีก..... ”
หลิวเฟยตอบรับอย่างหนักแน่น “ผมเข้าใจดีครับ ! อวี้เหลียนเป็นเพื่อนเล่นของผมตั้งแต่เด็ก เธอเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของผม ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอเด็ดขาด จำสิ่งที่ผมบอกไว้ให้ดี เดี๋ยวผมจะกลับไปเตรียมตัวแล้วจะออกเดินทางหลังจากนั้น”
หลิวเฟยกำชับเขาอีกครั้ง จากนั้นก็รีบเดินทางกลับบ้าน แล้วสวมเสื้อนอกที่ดูจะแสนธรรมดา แล้วก็ไม่ลืมที่จะพกเข็มเงินสิบกว่าเข็มติดตัวไปด้วย แล้วก็แยกใส่กระเป๋าลับด้านในของเสื้อนอก เขาเอาด้ายมาเย็บไว้หยาบ ๆ จากนั้นก็ออกเดินทาง
และในขณะนั้นเอง หลี่อวิ๋นโหรวก็โทรมาถามว่าอาหารทะเลที่จับได้จะออกเดินทางไปส่งเมื่อไร หลิวเฟยก็ได้บอกเธอไปว่าเขามีธุระด่วนในเมืองที่จะต้องไปสะสาง ให้เธอรับซื้อแล้วเอากลับมาที่บ้านก่อน รอเขาสะสางธุระเสร็จแล้ว เขาจะไปขายเอง
หลี่อวิ๋นโหรวถามต่ออีกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก็ไม่ยอมตอบ จากนั้นก็วางสายไป
เมื่อออกจากภูเขาไห่หมิง เขาก็เดินอ้อมอยู่ 1 รอบ จากนั้นก็ไปโผล่ที่ชายหาดทางด้านตะวันตก
เพราะว่าใกล้ค่ำขึ้นมาเต็มทีแล้ว เลยทำให้ริมชายหาดมีผู้คนให้เห็นบางตา และก่อนที่ราตรีจะมาเยือนนั่นเอง เรือสปีดโบ๊ตสีขาวลำหนึ่งได้ลอยมาจอดตรงหน้าเขา
แล้วก็มีผู้ชายที่สวมแว่นตาดำสองคนกระโดดลงมาริมหาด แล้วก็ทำการค้นตัวหลิวเฟย เมื่อมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้พกอาวุธอะไรติดตัวมาก็พาตัวเขาขึ้นไปบนเรือ แล้วก็จับมือเขาไขว้หลังจากนั้นก็ใช้เชือกมัดเอาไว้
ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเดจาวู หลิวเฟยแอบหัวเราะในใจ นี่เขาโดนมัดอีกแล้วสินะ
หากลองนับดูแล้ว ตั้งแต่ที่กลับมาถึงหมู่บ้านหลิว เขาโดนมัดรวมทั้งสิ้น 4 ครั้งแล้ว
ครั้งแรกและครั้งที่สองนั้นถูกมัดเมื่อคราวที่หลิวเทียนป้าบังคับให้เขาแต่งงาน และการที่ถูกมัดทั้งสองครั้งนั้นเขาก็หลบหนีมาได้โดยที่แทบจะไม่ได้ขยับหรือส่งเสียงอะไร
ครั้งที่สามก็คือเมื่อครั้งที่เขากับโม่อวี้ไปจับไอ้แฮกเกอร์วิปริตคนนั้น เขาให้โม่อวี้ใช้ผ้าไหมสีดำมัดขามัดแขนเขาไว้ แต่เขาก็ปลดเปลื้องได้โดยที่แทบจะไม่ต้องออกแรง
และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สี่ ครั้งนี้ดูเหมือนว่ากะจะมัดให้มือเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย ใครจะไปรู้เล่าว่าพวกเขากำลังเล่นอยู่กับนักแก้เชือกมือฉมัง เขาก็แค่แสร้งทำเป็นติ๋ม ๆ เท่านั้นเอง
พวกเขาคงจะคิดว่ามัดหลายรอบแล้วจะปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับทำให้เขาสามารถใช้วิชาอำพรางทำให้พวกเขาหลอกตาพวกนี้ได้
“หลิวเฟย แกอย่าคิดเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นผู้หญิงคนนั้นจะต้องตาย”
คนหนึ่งกล่าวเตือน จากนั้นก็รีบขับเรือสปีดโบ๊ตมุ่งหน้าสู่ทะเลลึก
หลิวเฟยลองมองหน้าทั้งสองคนจากนั้นก็เอ่ยถาม “พวกนายเป็นคนของหลิวเป้าหรือ ? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ? ”
สองคนนั้นไม่ยอมปริปากพูดอะไร
หลิวเฟยลุกขึ้นไปนั่งข้างกายของชายหนุ่ม จากนั้นก็เริ่มปั่นหัวคนพวกนี้ “ทำไมสีหน้านายดูไม่ได้เลยล่ะ ? เมาเรือหรือ ? นี่มันแผนใครกัน ไม่ใช่จงใจจะทำให้นายติดกับซวยเองหรอกหรือ ? ”
“แม่ง แกลองพูดออกมาอีกสิ ! ”
ผู้ชายคนนั้นก็รีบรุดตัวเข้าไปหาหลิวเฟยเเล้วมองเขาด้วยด้วยความโกรธจัดพร้อมกำหมัดแล้วยกขึ้นเตรียมจะต่อยเขา
ส่วนชายอีกคนที่กำลังขับเรืออยู่ก็รีบหันมาปราม “ช่างเถอะ มันใกล้จะตายเข้าไปทุกทีแล้ว จะไปถือสามันทำไม ? อีกอย่างหลิวเป้าไม่ได้สั่งแล้วหรือไงว่าอย่าพูดะไรกับมัน อย่าไปต่อสู้กับมัน จะได้ไม่ตกหลุมพรางของมัน แกจำไม่ได้หรือไง ? ”
ชายคนนั้นก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่หลิวเฟย แล้วไม่ยอมพูดอะไรต่อไป
หลิวเฟยก็เผยอปากแล้วส่ายหัวเล็กน้อย ไอ้สองหนุ่มนี่คิดเอาเองว่าตัวเองรอบคอบดีแล้ว แต่จริง ๆ พวกเขาไม่รู้ตัวว่าพวกเขาได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญบางอย่างออกมา
เมี่อกี๊ชายคนที่เรียกชายคนนั้นทำไมถึงเรียกหลิวเป้าว่าหลิวเป้า ? ถ้าเกิดว่าเป็นลูกน้องของหลิวเป้าจริง ๆ จะกล้าแทนเขาด้วยชื่อจริงหรือ ? นี่มันชัดเจนมากว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกน้องของหลิวเป้า
นี่หมายถึงอะไร ?
นี่ก็หมายความว่าคนที่จ้องจะฆ่าเขาในครั้งนี้ไม่ใช่หลิวเป้า
ทว่าตั้งแต่ที่เขากลับมาที่หมู่บ้านหลิว นอกจากหลิวเป้าและหลู่อิงปินแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีศัตรูคนไหนอีก หรือว่าจะเป็นหลู่อิงปิน ?
เมื่อนึกได้ดังนั้น เขาก็ย่นหน้าผากเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าครั้งแรกที่เขาเจอหลู่อิงปิน แล้วที่หลู่อิงปินบอกว่าโลกมันช่างกลมเหลือเกินนั้นหมายความว่าเขาเป็นคนที่คอยหนุนหลังหลิวเป้าอยู่ตลอดมา ?
เมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว หลิวเฟยก็เห็นว่ามันน่าจะมีความเป็นไปได้
ความเหิมเกริมของหลิวเป้าทำให้เขาเข้าใจในทันที หากว่าไม่มีผู้ทรงอิทธิพลอย่างเช่นคนตระกูลหลู่คอยหนุนหลังด้านการเงินอยู่ หลิวเป้าก็คงไม่อาจทำเรื่องชั่ว ๆ ขนาดนี้ได้
แต่นี่ก็ยังเป็นเพียงสมมติฐานของเขาเท่านั้น เขาจำต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าสมมติฐานของเขาเป็นจริงหรือไม่
เมื่อลองคิดรอบคอบดีแล้ว เขาก็กระแฮมแล้วเอ่ยถาม “ขอถามพวกนายหน่อยก็แล้วกัน ฉันได้ยินมาจากโม่อวี้ว่าหลู่อิงปินนกเขาไม่ขัน มันเป็นอย่างนี้จริงรึเปล่า ? น่าสงสารจัง เกิดมาเป็นขันทีนี่พอรับได้นะ แต่เด็กในท้องของเพื่อนสนิทโม่อวี้นี่สิเป็นลูกคนอื่นด้วยรึเปล่า ? แบบนี้มันโดนสวมเขานี่นา ! ”
“ไอ้ห่านี่ แกพูดอะไรนะ ? ”
“แม่งมึงเอ๊ย ความตายอยู่บนหัวแล้วแท้ ยังจะมาปากหมา เดี๋ยวฉันจะเอามีดแทงให้ตายตรงนี้ซะเลย ! ”
.......
คำพูดของหลิวเฟยส่งผลต่อชายหนุ่มสองคนนั้นเป็นอย่างมาก หลิวเฟยแอบยิ้ม เป็นไปตามคาดจริง ๆ ว่าหลู่อิงปินนั้นคอยหนุนหลังหลิวเป้าอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ช่างบังเอิญจริง ๆ !
ชายหนุ่มสองคนยิ้มแหย ๆ และเหมือนจะนึกขึ้นได้ในทันทีว่าได้ตกหลุมพรางเขาเข้าแล้ว และหนึ่งในชายหนุ่มก็เกิดอารมณ์พลุกพล่านแล้วควักมีดสั้นที่เหน็บเอวออกมาแล้วแทงไปที่หลิวเฟย ส่วนหลิวเฟยนั้นก็หลบได้อย่างรวดเร็ว แล้วเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขาจนล้มลงไปฟุบอยู่ที่กราบเรือ แล้วก็เอาเท้ากระทืบซ้ำเข้าไปบนแผ่นหลังของเขาอีกที แล้วคำรามขู่ “นายคิดว่าฉันจะกลัวหรือ ? หากคิดจะขยับอีก ฉันจะจับนายโยนให้ฉลามมันกินซะ ! ”
ตอนนี้ชายหนุ่มที่กำลังโมโหเดือดดาลอยู่นั้นก็พยายามจะขยับเยื้อนตัวเองอย่างสุดฤทธิ์ แต่กลับรู้สึกราวกับมีก้อนหินที่หนักราวหนึ่งตันคอยทับหลังเขาเอาไว้ ไม่ว่าจะพยายามขยับเท่าไรก็ไม่อาจเขยื้อนได้เลยแม้แต่นิด
ชายที่กำลังขับเรือเมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้นก็พูดด้วยความหวาดกลัว “หลิว....หลิวเฟย แกจะทำอะไร ? แกไม่อยากให้หลิวอวี้เหลียนมีชีวิตต่อแล้วหรือไง ? ”
“เดิมทีฉันก็ให้ความร่วมมืออยู่หรอกนะ แต่พวกนายมากันมายั่วโมโหฉันเสียก่อน ! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าหลิวเป้าและหลู่อิงปินรวมหัวกันเล่นงานฉัน ที่จริงฉันรู้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นพวกแกก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรฉันอีกต่อไป” หลิวเฟยพูด
“แก....แกปล่อยตัวเพื่อนฉันก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน” ชายหนุ่มคนขับเรือพูด
หลิวเฟยเคลื่อนเท้าของตนออก จากนั้นก็เตะเขาไปที่ฝั่งหนึ่ง “พวกนายก็มีภารกิจ ถ้าอยากให้ภารกิจลุล่วงไปโดยดี เราก็มาสงบศึกกัน โอเคไหม ? ”
เมื่อได้ยินเขาพูดดังนั้น ชายหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่พูดมากอีกต่อไป
ราวครึ่งชั่วโมงให้หลัง เรือสปีดโบ๊ทก็ได้ขับมาจอดเทียบกับเรือประมงอีกลำที่สภาพดูทรุดโทรม แต่ก็ดูเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่มากพอสมควร
หลิวเฟยก็ถูกลากขึ้นไปบนเรือประมง จากกนั้นขายหนุ่มทั้งสองก็เอากระบอกปืนจี้ที่หัวของเขา แล้วลากเขาไปที่ห้องโดยสารบนเรือ
เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว เขาก็เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังจับตาดูเฝ้าหลิวอวี้เหลียน หลิวเฟยจึงรีบเอ่ยถามเธอ “อวี้เหลียน พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม ? ”
หลิวอวี้เหลียนส่ายหัวแล้วตะโกนออกมา “ไอ้พี่บ้า ใครบอกให้พี่มาที่นี่ ? พวกเขาจะฆ่าพี่นะ นี่ไม่รู้ตัวหรือ ? ”
“ปัง ! ”
ทันใดที่ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้นมา เธอก็ตกใจจนขวัญเสีย เธอคิดว่าหลิวเป้าฆ่าหลิวเฟยเข้าให้แล้ว แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่านั้นคือเสียงที่หลิวเป้าคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องกัปตันทำขึ้นมาเอง
หลิวเฟยเจอมามากพอแล้วกับสถานการณ์แบบนี้ คิดว่าเกมแกล้งหลอกเด็กแบบนี้จะทำให้เขาขวัญอ่อนได้หรือ ?
เมื่อเห็นหลิวเป้าสวมเสื้อคอจีนสีขาว กางเกงสีขาวและรองเท้ากีฬาสีขาว หลิวเฟยเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มทัก “ไง ไอ้อันธพาล นายใส่ชุดขาวทั้งตัวอย่างนี้กะจะใส่ไว้อาลัยให้กับงานศพของตัวเองหรือไง ? ”
หลิวเป้าควงกระบอกปืนในมือ จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะเสียดัง “เห็นแล้วยัง ? เมื่อกี๊ข้าเพิ่งจะบอกพวกแกเองว่าเพื่อนของข้าคนนี้มันไม่รักตัวกลัวตายเลยสักนิด ไงล่ะ คราวนี้เชื่อหรือยัง ? พวกแกคิดว่ามันตั้งใจทำให้ความหวังดีของข้าสูญเปล่าหรือไม่ นี่ข้าอุตส่าห์เห็นแก่ข้อที่ว่าเราทั้งสองมีบรรพบุรุษเดียวกัน ข้าก็เลยตั้งใจจะแต่งขาวเพื่อไว้อาลัยให้กับการตายของมัน”
“ไม่รักตัวกลัวตายจริง ๆ ด้วย เอายังไงดีครับพี่ใหญ่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาจัดการมันเสียตอนนี้เลยดีไหมครับ ? ” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยออกมา
“จะรีบร้อนไปทำไมกัน ขับออกไปที่แถบน่านน้ำลึกหน่อยสิ ไอ้บ้านี้มันหนังเหนียว ปลาธรรมดาคงจะกัดแทะศพมันไม่เข้า ต้องเป็นฉลามเท่านั้น ! ”
หลิวเฟยลองกวาดสายตาไปมองภายในเรือ และเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดมีกัน 8 คน และมี 2 คนในนั้นที่พกปืน 2 กระบอกในมือ ท่าทีก็ดูหนักแน่นไม่น้อย เขาคาดคะเนเอาว่าสองคนนั้นน่าจะเป็นมือปืนรับจ้าง
หากลองคำนวณดูแล้ว ถ้าเกิดว่านับคนที่ขับเรืออยู่ในห้องกัปตันด้วยนั้น บนเรือนี้ก็จะมีคนทั้งหมด 11 คนด้วยกัน หนึ่งต้องฟาดฟันเก้า ต้องเผชิญหน้ากับกระบอกปืนนั้นไม่ว่า แต่ยังจะต้องช่วยให้หลิวอวี้เหลียนหนีออกไปครบทั้งสามสิบสองประการอีกต่างหาก ภารกิจครั้งนี้ถือว่ามีความท้าทายสำหรับเขาเป็นอย่างมาก
แต่ว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เกมนี้ถ้าพวกมันไม่ตาย ก็ต้องเป็นเขาและอวี้เหลียนที่ต้องตาย เขารอนแรมไปทั่วโลกตั้งหลายปี หากต้องกลับมาตายด้วยน้ำมืออันธพาลกระจอก ๆ แล้วเขาจะเอาหน้าไปสู้กับพี่น้องที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาได้อย่างไร ?