ตอนที่ 40 นี่สิถึงจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวตัวจริง
ในท้องทะเลเริ่มมีลมก่อตัวขึ้นมา นอกจากนี้ยังเริ่มมีฝนตกปรอยลงมาอีกด้วย
เรือประมงขนาดใหญ่ลอยโซเซอ้างว้างอย่างไร้ความช่วยเหลืออยู่กลางท้องทะเล ซึ่งก็เหมือนกับสถานการณ์ของหลิวเฟยในขณะนี้พอดี
ตั้งแต่หวนกลับหมู่บ้านหลิว สถานที่ที่เขาเรียกว่าบ้านเกิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตขนาดนี้ เขาเองก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าตนจะหนีพ้นจากภัยครั้งนี้ไปได้หรือไม่ แต่เขารู้แค่ว่าเขาจำเป็นต้องหนีออกไปให้ได้ !
เขาหันไปมองหลิวเป้าที่ดูเตรียมแผนมาอย่างรอบคอบแล้วเอ่ย “คิดไม่ถึงว่านายคือพวกเดียวกับหลู่อิงปิน ปกปิดได้สนิทดีนี่ ! ”
“แกรู้ได้ไง ? ” หลิวเป้าหน้าถอดสีแล้วยิ้มแหย ๆ “แต่แกรู้ไปก็เท่านั้น เพราะคนตายจะไม่อาจปากโป้งได้อีกต่อไป แกรู้รึยังว่าทำไมฉันถึงอยากเอาชีวิตแกนักหนา ? ”
“ไม่มีใครชอบคนที่เคยอยู่แทบเท้าตัวเองแล้ววันหนึ่งก็ย้อนกลับมาเหยียบเท้าตัวเองหรอก และก็ดูจากนิสัยด้านมืดของหลู่อิงปินแล้ว เขาคงไม่อยากให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“หลักแหลมดีนี่ ! ” หลิวเป้าตบมือด้วยความดีใจ “ไอ้หยา คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกับเจ็ดปี สมองของแกหลักแหลมขึ้นไม่น้อยเลย ! พูดตามตรงเลยว่ะ เจ็ดปีก่อนฉันโคตรเสียดายที่ไม่ได้อัดแกให้ตายคามือ ถ้าตอนนั้นแกตายไปเสียล่ะก็ ตอนนี้คงไม่มีเรื่องอะไรให้รำคาญใจจนถึงตอนนี้”
หลิวเฟยยิ้มมุมปากแล้วพูด “พูดอย่างนี้ฉันก็คงต้องขอบคุณนายสินะที่ไม่ได้ฆ่าฉันให้ตายในวันนั้น”
หลิวเป้าโบกมือปัดแล้วพูด “ไม่ ไม่ แกควรจะเกลียดฉันเสียมากกว่า เพราะอีกเดี๋ยวฉันจะทำให้แกตายอย่างน่าหดหู่ที่สุด ! ”
พูดจบเขาก็ยิ้มออกมาอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าในสายตาของเขานั้นต่อให้หลิวเฟยเก่งเรื่องวิทยายุทธมากแค่ไหน แต่ด้วยสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยกระสุนขนาดนี้ เขาก็กลายสภาพเป็นศพที่มีรูพรุนนับร้อยและตายอย่างน่าเวทนาที่สุด
หลิวอวี้เหลียนทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เธอถลึงตาใส่หลิวเป้าพร้อมกับตะโกนด่าอย่างไม่ปราณี “หลิวเป้า แกมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน คนอย่างแกไม่ควรมีแซ่ว่าหลิวเหมือนพวกเรา”
หลิวเป้าพูดพร้อมยักไหล่ “มีแซ่หลิวหรือไม่มี มันสำคัญตรงไหน ? ชีวิตคนเราก็มีแค่เงิน สถานะทางสังคมและผู้หญิง และตอนนี้ฉันก็ไม่ขาดสักอย่าง ตอนนี้ชีวิตฉันสุขสำราญเสียยิ่งกว่าพวกแกที่มีชีวิตแร้นแค้นอยู่บนภูเขาไห่หมิงมากเป็นไหน ๆ หากว่าพวกแกยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แล้วให้ฉันเหยียบย่ำให้สบายใจสักหน่อย บางทีนะพวกแกอาจจะใช้ชีวิตตามอัตภาพ แต่ใครให้พวกแกต่อต้านกันเล่า ? ”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ เขาก็ยิ่งพูดจาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสั่งสอนให้รู้ว่าผลของการต่อต้านก็คือการเหยียบซ้ำที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากยิ่งกว่าเดิม “ชีวิตของพวกแกถูกลิขิตให้อยู่แทบเท้าฉัน ! ”
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้ หลิวเฟยก็ส่ายหัวเล็กน้อย
เขาก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
แต่ว่าเจ็ดปีให้หลังมานี้เขาก็เปลี่ยนไปจนไม่อาจหาคำไหนมาบรรยายได้ น่าหวาดกลัวมากกว่าเดิมและเลือดเย็นไร้ความปราณีมากกว่าแต่ก่อน
ตราบาปนี้ได้ทำให้หมู่บ้านหลิวเสื่อมเสียชื่อเสียง !
หลิวเฟยต้องมองไปที่หลิวเป้าแล้วเอ่ย “บางทีวันนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะหยุดความแค้นระหว่างเราสองคน ฉันจะไม่ยอมใจอ่อนให้นายหรอก”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ”
........
หลิวเป้าหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
คนที่อยู่ในห้องโดยสารของเรือก็ต่างหัวเราะออกมาเช่นกัน
เพราะว่าคำพูดนี้มันช่างน่าขันเหลือเกิน !
เขาไม่ใจอ่อนให้หรือ ? คิดหรือว่าพวกตนจะเหลือโอกาสไว้ให้เขาใจอ่อนหรือไง ?
หลิวเป้าชี้ไปที่เขาพร้อมกับหัวเราะร่า “หลิวเฟย นายนี่เปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ ยังจะมากล้าพูดจาอะไรไร้ยางอายอีก แตกต่างกับไอ้ขี้ขลาดเมื่อเจ็ดปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิงเลยว่ะ ! พูดไปแล้วฉันก็เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา เจ็ดปีที่ผ่านมาแกหายหัวไปไหนมาวะ ? ฉันและผู้จัดการหลู่ให้คนไปสืบข้อมูลตั้งหลายคนก็สืบค้นไม่เจอสักนิดเดียว ! น่ามหัศจรรย์ดีนี่...... ”
“นายอยากรู้หรือ ? ” หลิวเฟยเอ่ยถาม
“แน่นอน ! ” หลิวเป้าตอบ
“รอแกลงนรกไปก่อน แล้วฉันค่อยเผากระดาษไปบอกก็แล้วกัน ! ”
“ปังๆ ๆ ๆ ๆ !”
เมื่อหลิวเฟยพูดจบ เสียงปืนก็ดังรัวขึ้นมาทันที ทว่ากระสุนนั้นกลับยิงเล็งไปรอบ ๆ ตัวเขาแทน
เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด หลิวเป้าก็อดที่จะเอ่ยปากชมเขาไม่ได้ “โว้ว จิตใจแกโครตแม่งเข้มแข็ง ยิงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกกลัวสักนิด อืม...น่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ ! แต่ว่าแกคิดหรือว่าฉันจะไม่กล้าฆ่าแก ? ”
พูดจบเขาก็เล็งปลายกระบอกปืนไปที่หัวของหลิวเฟยแล้วเตรียมลั่นไก
หลิวเฟยตอบอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพราะรู้ว่าแกกล้าฆ่าฉัน ฉันก็เลยไม่กลัวไงล่ะ ! ”
ทันทีที่หลิวเฟยพูดจบ เสียงของชายคนหนึ่งได้ดังขึ้นมา “พี่ใหญ่ครับ ตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วครับ และตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากฝั่งมาไกลมากแล้วด้วย อย่ามัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกับมันอยู่เลย รีบจัดการมันเถอะครับ ! ”
หลิวเป้าใช้มือเช็ดปลายกระบอกปืนแล้วพูด “พวกแกว่าเราลงมือพร้อมกันหรือลงมือทีละคนดี ? ”
“ลงมือพร้อมกันเสียให้สิ้นเรื่องเถอะครับ ! ”
หลิวเป้าถลึงตา จากนั้นค่อยหรี่ตามองหลิวอวี้เหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดออกมา “ทำไมพวกแกไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีเลยวะ ? ถึงแม่สาวสวยอวี้เหลียนจะเป็นตัวนำโชคร้ายมาให้สามี แต่จะมองยังไงเธอก็เป็นแม่สาวสวยคนหนึ่ง พวกแกไม่อยากจะเชยชมกันหน่อยหรือ ? ”
เมื่อได้ยินหลิวเป้าพูดไม่เข้าหู หลิวอวี้เหลียนเลยด่าเขาชุดใหญ่ “หลิวเป้า แกมันไอ้สารเลว ถ้าแกกล้าจะแต่ต้องตัวฉันนะ ฉันจะทำให้แกไม่ตายดีแน่ ! ”
หลิวเป้าชี้ไปทางเธอแล้วพูดกับลูกน้องของตน “พวกแกเห็นหรือยัง ? พวกแกเห็นหรือยัง ? แสบซ่าได้ใจจริง ๆ พวกแกต่างก็เป็นพี่น้องที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ฉัน เดี๋ยวรอฉันเชยชมแม่สาวนั้นเสร็จ ฉันก็จะแบ่งให้พวกแกแต่ละคนได้ลองชิมกัน ! ”
“ขอบคุณมากครับพี่ใหญ่ ! ขอบคุณมากครับพี่ใหญ่ ! ”
ชายหนุ่มต่างก็มองเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรของหลิวอวี้เหลียนแล้วรีบขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
หลิวเป้าโบกมือเป็นสัญญาณเพื่อให้ลูกน้องสองคนกุมตัวหลิวเฟยแล้วบังคับให้เขาเดินไปด้านหน้าของตน จากนั้นเขาก็เอาจ่อไปที่หัวของหลิวเฟย “ได้ยินมาว่าตอนที่พวกแกเพิ่งกลับมาถึงหมู่บ้านหลิว ไอ้หลิวเทียนป้ามันจับแกมัดแล้วส่งเข้าเรือนหอของหลิวอวี้เหลียน แต่แกก็ไม่ได้ทำอะไรเธอ แกนี่มันสัตว์เดรัจฉานจริง ! ในเมื่อแกไม่ยอมทะนุถนอมดูแลให้ดีเสียตั้งแต่แรก ถ้าเกิดว่าพวกฉันจะช่วยทำแทนให้ แกคงไม่ว่าใช่มั้ย ? ”
หลิวเฟยทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่ามาพูดจาพร่ำเพรื่อ ถ้าแกอยากยิงฉันนักก็ยิงมาสิวะ ! ”
“เฮอะ ๆ .....แกจะรีบไปพบยมบาลหรือไง ได้ ฉันจะทำให้แกสมปรารถนาเอง ! ”
“ปัง ! ”
“พี่เฟย อย่านะ ! ”
........
เมื่อได้ยินเสียงกระสุนปืนดังขึ้นมา หลิวอวี้เหลียนก็ร้องออกมาด้วยความโหยหวน แต่ทว่าในจังหวะที่กระสุนกำลังจะแล่นเข้าไปในกะโหลกของหลิวเฟยและระเบิดสมองของเขาให้แหลกกระจุยนั้นเอง หลิวเฟยได้เคลื่อนไหวหลื่นไหลราวกับปลาไหล เขาไม่เพียงแต่แก้เชือกที่มัดมือได้อย่างว่องไว แต่ยังสลัดการควบคุมของชายหนุ่มของคนนั้นได้อีกด้วย แล้วก็เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบตรงไปที่หน้าหลิวเป้า ก่อนจะแย่งปืนออกมาจากมือเขา แล้วเอาปืนจี้ไปที่คอขอเขา
ทุกคนที่อยู่บนเรือเมื่อได้สติกลับมา แล้วเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าต่างก็อึ้งไปตาม ๆ กัน เขาแก้มัดเชือกออกมาได้ยังไงกัน ? เขาสลัดการควบคุมของชายสองคนนั้นได้ยังไงกัน ?
“ปัง ! ”
“ปัง ! ”
......
เมื่อควบคุมตัวหลิวเป้าได้ หลิวเฟยก็หันไปยิงชายหนุ่มสองคนที่ประกบเขา 2 นัด ทั้งสองคนนั้นเอามือประคองบ่าแล้วล้มลงร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
ลูกน้องของหลิวเป้าคนอื่น ๆ ก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบกลับมา ทุกคนต่างทยอยเล็งปลายกระบอกปืนมาที่หลิวเฟยจากนั้นก็ขู่เตือน “ถ้าแกจะยิง พวกฉันเอาแกตายแน่ ! ”
หลิวเฟยเอากระบอกปืนจี้ไปตรงหัวของหลิวเป้า จากนั้นก็พูดอย่างเลือดเย็น “พวกนายอย่าคิดที่จะตุกติก ไม่อย่างนั้นวินาทีต่อไปสมองไอ้หมอนี่จะระเบิดกระจุย ! ”
สองขาของหลิวเป้าเริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัว เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “หลิวเฟย แกแม่งโหดกว่าฉันอีก ! แก....แกอย่ายิงนะ ไม่งั้นวันนี้พวกเราทั้งสองจะต้องจบชีวิตกันที่นี่แน่ ! ”
หลิวเฟยยิ้มเยาะเย้ย “งั้นหรือ ? หลิวเป้า แกรู้มั้ยว่าจุดอ่อนของแกอยู่ตรงไหน ? จุดอ่อนของแกก็คือหลงระเริงง่ายเกินไป ไม่คำนึงถึงคนอื่นจนเกินไป ! นายคิดว่าแค่มีปืนก็ดีเลิศประเสริฐศรีแล้วหรือไง ? ”
เมื่อได้ยินหลิวเฟยพูดเช่นนี้ หลิวเป้าก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
หลิวเฟยพูดถูก เขาประมาทศัตรูมากจนเกินไป !
แต่เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ แค่เขาหลับตาก็สามารถฆ่าหลิวเฟยได้ในชั่ววินาทีนั้นเลย ใครเล่าจะไปคิดว่าหลิวเฟยมันสามารถแก้เชือกออกมาได้อย่างสบาย ๆ ใครเป็นคนมัดกัน ? นี่จงใจจะวางกับดักเขาหรือไง ? ถ้าเกิดหลิวเฟยไม่ได้ถูกมัดอยู่ เขาก็คงไม่สะเพร่ามากถึงขนาดนี้ !
อีกอย่างทำไมหลิวเฟยถึงได้เคลื่อนไหวคล่องแคล่วขนาดนี้ แทบจะไม่มีเวลาให้ลูกน้องของตนได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อะไรออกมาเลย ถ้าหากว่าเขาเคลื่อนไหวช้าลงนิดหนึ่ง ลูกน้องก็อาจจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ทัน และกำราบเขาให้ราบคาบอย่างไม่ต้องเปลืองแรงเลยด้วยซ้ำ !
จำต้องชื่นชมว่าแผนจับหัวหน้าศัตรูแล้วค่อยทำลายส่วนที่เหลือนั้นของหลิวเฟยนั้นจะแยบยลมากเหลือเกิน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดูจากสภาพตอนนี้แล้วทั้งสองฝั่งสูสีกันพอสมควร
ทว่าอย่างไรก็ตาม สำหรับเขานั้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่าฝั่งตนยังมีข้อได้เปรียบ นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาตกเป็นเบี้ยล่างหรือสบประมาทศัตรู แต่เป็นเพราะว่าเขาเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม วันนี้หลิวเฟยจะต้องถูกจบชีวิตที่นี่
“ซ่า.......ซ่า....”
ฝนยิ่งกระหน่ำลงมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ คลื่นที่ซัดถาโถมเข้ามาให้ห้องโดยสารยิ่งเพิ่มบรรยากาศที่ตึงเครียด ไม่ว่าใครต่างก็แทบจะหยุดหายใจขึ้นไปอีก
ตามลักษณะนิสัยเดิมของทั้งสองฝ่ายแล้ว ต่อไปเขาคงเลือกที่จะมาเจรจากัน แต่ทว่านักฆ่ามืออาชีพทั้งสองคนนั้นกลับไม่รีรอให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พวกเขาหันมาสบตากัน จากนั้นก็เหนี่ยวไกปืนทั้งสี่ ทันใดนั้นกระสุนปืนก็ตรงดิ่งมาหาหลิวเฟยราวกับสายฟ้าแลบ
หลิวเฟยตกใจจนขวัญเสียไปครู่หนึ่ง เขารีบเอาตัวของหลิวเป้ามาเป็นโล่กำบังจนหลิวเป้าล้มพับไป จากนั้นก็ก็หันไปรัวปืนใส่มือปืนทั้งสอง
“ปังๆๆๆ”
“ปังๆๆ”
.......
หลังจากเสียงปืนดังสนั่นหนึ่งระลอก มือปืนคนหนึ่งถูกยิงตาย ปืนของชายหนุ่มทั้งสองที่ประกบหลิวเฟยนั้นหล่นร่วงลงกับพื้น ร่างของหลิวเป้าโดนกระสุนอยู่หลายจุด
“ไปตายซะ ! ”
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำร้ายหลิวเฟยได้แม้แต่ปลายเล็บ มือปืนที่อับอายจนบันดาลโทสะขึ้นมาก็รีบเข้าไปเอาปืนจ่อหลิวอวี้เหลียนที่ตอนนี้ยังคงถูกมัดอย่างขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่ตรงเก้าอี้
หลิวเฟยกระโดดเข้าไปแล้วคว้าเก้าอี้เขวี้ยงใส่เขาจนล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็ยิงเข้าไปที่หน้าแข้งของมือปืนคนนั้นสองสามนัด
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน จัดการหลิวเฟยซะ ! ”
เมื่อเห็นลูกน้องของตนที่เหลือลังเล หลิวเป้าต้องทนกล้ำกลืนกับความเจ็บปวด จากนั้นก็รวบรวมพลังแรงที่เหลือของตนตะโกนออกไป
ทำไมเขาถึงไม่รู้มาก่อนว่ามือปืนทั้งสองที่หลู่อิงปินจ้างมาในราคาสูงลิบลิ่วนั้นไม่แยแสความเป็นความตายของเขาเลย พวกเขาตั้งใจที่จะทำให้หลิวเฟยตายสถานเดียว และทำไมเขาถึงไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่หลู่อิงปินต้องการจะสื่อ เพื่อที่จะฆ่าหลิวเฟยคนเดียว เขาไม่แยแสว่าจะต้องสูญเสียกำลังคนไปเท่าไร
เขาโกรธแค้นมาก !
และก็ไม่อาจทนยอมรับความจริงข้อนี้ได้
เขาถึงกับสาปแช่งบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรของหลู่อิงปินอยู่ในใจ แต่ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่คาดหวังให้ลูกน้องของตนไปต่อสู้กับมือปืนอาชีพพวกนั้น แต่เขายังคงหวังให้หลิวเฟยตาย เพราะไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงไม่อาจนอนตายตายหลับได้.....
สี่คนถูกยิง เว้นเสียแต่ลูกน้องคนนั้นที่กำลังขับเรือ หลิวเป้าก็ยังมีลูกน้องที่สภาพดูน่าเวทนาอีกคนหนึ่ง แต่ยังดีที่สองคนที่ถูกกระสุนปืนยิงตั้งแต่ทีแรกนั้นมือยังคงจับปืนอยู่ ถ้าหากเขาทั้งสามคนเล็งเป้าไปที่หลิวเฟยผู้ซึ่งกำลังรับมืออยู่กับมือปืนกำลังอารักขาหลิวอวี้เหลียนไปพร้อมกัน ก็อาจจะฆ่าเขาให้ตายได้
พวกเขาเล็งเป้าหมายไปที่หลิวเฟย ส่วนหลิวเฟยก็เหมือนว่ามีตาอยู่ด้านหลัง จู่ ๆ เขาก็คว้าเก้าอี้ขึ้นมาแล้วถีบสุดแรงไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็ตีลังกากลับหลัง ยิงกระสุนปืนออกไปได้ 2 นัด และเสียงปืนนั้นเงียบไป
หลิวเฟยจึงเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง เขากลับพบว่าปืนของเขาหมดกระสุนเข้าเสียแล้ว......
“มันไม่มีกระสุนแล้ว ฆ่ามันซะ ! ”
หลิวเป้าตอนนี้ที่หายใจรวยริน เมื่อเห็นภาพดังกล่าว เขาก็หัวเราะจนมีน้ำตาเล็ดออกมา จากนั้นก็ตะโกนออกไปสุดเสียง
มือปืนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็รีบลุกขึ้น แล้วหันปลายกระบอกปืนจ่อเข้าที่หลิวเฟย
หลิวเฟยค่อย ๆ ขยับชายขอบเสื้อของตน จากนั้นก็สูดลมหายใจตั้งสติ
เขารู้ดีว่าตอนนี้ตนอยู่ในสถานะที่สามารถปกป้องชีวิตของหลิวอวี้เหลียนได้ แต่ทว่า....ถ้าเขาเกิดตายขึ้นมาเธอก็จะไม่เหลือชีวิตกลับไปเช่นกัน
“ปัง ! ”
“ปัง ! ”
........
เสียงปืนมรณะได้ดังขึ้นมา 2 นัด ราวปรารถนาจะคร่าชีวิตของหลิวเฟยไปให้ได้ หลิวอวี้เหลียนเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา
หลิวเฟยกลับกลิ้งหลบอยู่บนพื้นราวกับเป็นวิญญาณที่กระสุนไม่สามารถทำร้ายได้ และมือขวาก็เขวี้ยงเข็มเงินสองสามเข็มติด ๆ กัน
เข็มเงินนั้นเล็กมากจนไม่อาจสังเกตเห็นได้ และในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะใช้ได้ผลเสียมากกว่ากระสุนปืนเสียอีก มือปืนคนนั้นร้องโอดโอยแล้วปืนก็ร่วงลงบนพื้น เขาไม่ทันได้ก้มลงไปคว้าปืนขึ้นมา หลิวเฟยก็รุดมาถึงตัวเขาก่อนแล้วถีบเขาจนร่างกระเด็น จากนั้นก็เก็บปืนไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หลิวอวี้เหลียนแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาเอาตัวเองมาเผชิญความเสี่ยงแล้วพลิกเกมที่ดูเหมือนจะไม่มีความหวังและจะพ่ายแพ้อยู่รอมร่อให้กลับมามีชัยเหนือศัตรูได้ นี่มันวีรบุรุษในดวงใจของเธอชัด ๆ
และทันใดนั้น หลิวเป้ากลับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาราวกับบ้าคลั่ง ซึ่งเสียงหัวเราะนั้นฟังดูแล้วก็ไม่ใช่เสียงหัวเราะแห่งความสิ้นหวัง....