ตอนที่ 41 ความอ่อนโยนนี้ คนอย่างพี่ไม่เข้าใจหรอก
“อวี้เหลียน เมื่อกี๊เธอไปชนกับตรงไหนบ้างรึเปล่า ? ”
เมื่อหลิวเฟยช่วยเธอแก้มัดแล้ว เขาก็รีบสำรวจหาบาดแผลบนร่างกายของเธอเพราะ เพราะเมื่อกี๊ที่เขาถีบเก้าอี้ของเธอเพื่อให้เธอหลบพ้นจากวิถีกระสุนและตอนนั้นเองดูเหมือนว่าเธอต้องชนเข้ากับบางอย่างเข้าอย่างจัง
หลิวอวี้เหลียนมองเขาด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยนจากนั้นก็ส่ายหัว“ก็แค่หัวเข่าถลอกนิดหน่อยเอง ไม่ได้เป็นอะไรมาก พี่เฟย พี่นี่โคตรบ้าระห่ำเลย ฉันโคตรรักพี่เลย ! ”
พูดจบเธอก็โน้มหัวลงไปจูบบนริมฝีปากของหลิวเฟยเบา ๆ
หลิวเฟยเม้มปากแล้วจิ้มที่จมูกของเธอ จากนั้นเขาเดินไปตรงหน้าของหลิวเป้าที่ตอนนี้หน้าซีดเหมือนไก่ต้มแต่ยังคงฝืนหัวเราะร่าออกมาได้ไหว
หลิวอวี้เหลียนถลึงตาไปทางหลิวเป้าแล้วพูด “ทีนี่รู้แล้วรึยังล่ะว่าการเป็นสุนัขรับใช้ของคนอื่นมันมีจุดจบยังไง ? แกทำตัวเองทั้งนั้น ! ”
หลิวเป้าพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “ถูกต้อง ฉันเป็นสุนัขตัวนั้นที่พอมีประโยชน์แล้วเขาก็เรียกให้มาเอากระดูกไปให้กิน แต่พอหมดประโยชน์ก็คงถูกเขาจับไปทำแกง แต่ถึงอย่างนั้นแล้วจะทำไม ? เพราะนี่เป็นหนทางที่ฉันเลือกเอง ฉันยอมเลือกที่จะมีชีวิตเยี่ยงสุนัข แต่ไม่ยอมอยู่ไปวัน ๆ เหมือนสุนัข ! ”
หลิวเฟยส่ายหัวแล้วถอนหายใจ “ในเมื่อปรารถนาที่จะเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็ขอให้นายเกิดเป็นสุนัขสมความปรารถนาของนาย ! ”
หลิวเป้าขบฟันพูด “ถ้าหากยมบาลให้ฉันเลือกว่าจะเกิดเป็นอะไรได้ ฉันก็คงเลือกที่จะเกิดเป็นสุนัข ! แต่แกล่ะ แกคิดหรือว่าวันนี้แกจะหนีไปจากเรือลำนี้ได้ ? ”
หลิวเฟยยักไหล่แล้วพูด “แล้วไง ? นายอยู่ในสภาพนี้แล้วแท้ ๆ ยังจะคิดมาหยุดฉันไว้อีกหรือ ? ”
“ฉันหยุดเแกไว้ไม่ได้หรอก แต่มีบางคนทำได้ ! ต่อให้วันนี้ฉันต้องตาย ฉันก็จะเอาพวกแกทั้งสองคนมาเป็นแพะรับบาปให้ได้ ! ”
พูดจบเขาก็ตะโกนเสียงดังไปยังห้องกัปตัน “เสี่ยวซี ชาติหน้าพวกเราค่อยมาร่วมเป็นพี่น้องเคียงบ้าเคียงไหล่กันใหม่ ! ”
เมื่อเสียงของเขาได้สิ้นสุดไป หลิวเฟยก็ชะงักเล็กน้อย เพราะจู่ ๆ เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าในห้องกัปตันยังมีอีกคนหนึ่งเขารีบรวบรวมประสาท จากนั้นก็เล็งปืนไปทางห้องกัปตัน
ทว่าเมื่อชายคนหนึ่งที่ร่างผูกด้วยระเบิดเดินออกมาพร้อมกับจุดชนวนระเบิดตะโกนเสียงดังออกมาจากห้องกัปตัน เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะยิงอีกต่อไป เขารีบคว้าตัวของหลิวอวี้เหลียนจากแล้ววิ่งหนีไปด้านนอก
“ตู้ม ! ”
“ตู้ม ! ”
“ตู้ม ! ”
........
เสียงระเบิดดังติดต่อกันราวสองถึงสามครั้ง จากนั้นเรือประมงก็ได้ถูกแรงอัดของระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หลิวเฟยได้เอาตัวเองไปเป็นโล่กำบังให้หลิวอวี้เหลียนแล้วกอดร่างของเธอกระโดดลงทะเลไปพร้อมกัน
และในขณะนี้เอง ฝนก็ได้กระหน่ำลงมาคลื่นในทะเลก่อตัวสูงขึ้นและสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ผืนน้ำตรงบริเวณที่เรือระเบิดนั้นได้กลายเป็นกลุ่มประกายไฟสีแดงแล้วเลือนหายไปในทันใด เศษเรือประมงได้กระจัดกระจายและกระเพื่อมลอยตามแรงคลื่นอยู่บนผืนน้ำ
“พี่เฟย ! ”
“พี่เฟย ! ”
........
หลิวอวี้เหลียนที่โผล่พ้นผืนน้ำมาได้ก่อนก็สำลักน้ำเค็มออกมา จากนั้นเธอแผดเสียงดังสุดฤทธิ์ สายตาทั้งสองข้างของเธอพร่ามัวจนมองอะไรไม่เห็น
เธอรู้ดีว่าหากเมื่อกี๊หลิวเฟยไม่เอาร่างของเขามาบังคลื่นระเบิดเอาไว้ ป่านนี้เธอคงจะต้องจบชีวิตตามพวกนั้นไปแล้ว !
เธอไม่หวังให้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับหลิวเฟย ถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็อยากเอาชีวิตของเธอมาแลกกับชีวิตของเขา เพราะยังไงเธอก็เป็นตัวกาลกิณีที่นำโชคร้ายมาให้เขา.....
เมื่อตะโกนชื่อหลิวเฟยอยู่สักพักแต่ก็ยังคงไร้เงาเจ้าตัว ในขณะที่เธอรู้สึกว่าใจใกล้สลาย…..ตอนนั้นเอง หลิวเฟยก็โผล่พ้นมากจากผืนนั้นพลางไอสำลักน้ำออกมาอย่างแรง แล้วก็ยื่นมือออกไปคว้ากระดานไม้เอาไว้จากนั้นก็ตะโกนเรียกชื่อหลิวอวี้เหลียน
หลิวอวี้เหลียนว่ายน้ำเขาไปหาเขาตามทิศทางที่มีเสียงดังแว่วมา เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของเขาเละจนแทบจะไม่มีชิ้นดีและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เธอก็แทบลมจับ !
“พี่เฟย ทำไมพี่ถึงได้โง่ขนาดนี้นะ ? ”
หลิวอวี้เหลียนเอามือสัมผัสแผ่นหลังเขาเบา ๆ แล้วเธอก็กัดริมฝีบากจนเลือดไหลซิบออกมา
หลิวเฟยส่งแผ่นกระดานให้เธอกอดเอาไว้ แล้วพยามยามออกแรงว่ายน้ำพาเธอออกออกไป “ฉันโอเค แค่ดูน่ากลัวไปหน่อยก็เท่านั้นเอง พวกเราต้องพยายามว่ายน้ำกลับไปให้ได้ ฉันกำชับพ่อของเธอไว้แล้วว่าให้แจ้งความทันที เดี๋ยวจะต้องมีคนมาช่วยพวกเราแน่ ๆ ”
หลิวอวี้เหลียนส่ายหัว “พี่โกหกฉัน ! ต่อให้ฉันโง่แค่ไหนฉันก็ดูออกว่าพี่ไม่โอเค จริงด้วย...พี่เป็นหมอไม่ใช่หรือ ? รีบทำอะไรสักอย่างเพื่อห้ามเลือดตัวเองสิ..... ”
หลิวเฟยฝืนยิ้มตอบ “แต่นี่เป็นแผ่นหลัง.....เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีเข็มเงินเหลืออยู่บ้าง เธอช่วยฝังเข็มตามจุดที่ฉันบอกได้ไหม แต่ระวังนะ ห้ามฝังมั่วเด็ดขาด ! ”
หลิวเฟยรีบตอบรับอย่างเร่งรีบ “พี่ก็รีบเอาออกมาสิ ฉันไม่ฝังมั่วซั่วหรอกน่า ! ”
หลิวเฟยนำเข็มเงินจากชายขอบเสื้อของตัวเองออกมา แล้วยื่นให้หลิวอวี้เหลียนอย่างสั่นระริก จากนั้นเขาก็กอดแผ่นกระดานแล้วโก่งหลังขึ้นแล้วอธิบายตำแหน่งของการฝังเข็มอย่างละเอียด
หลิวอวี้เหลียนกัดฟันแล้วฝังเข็มได้ตามตำแหน่งที่เขาบอก เมื่อเห็นว่าเลือดบนแผ่นหลังของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เธอก็รีบพูดอย่างลุกลี้ลุกลน “แล้วไงต่อ ? แล้วไงต่อ ? มันสามารถหยุดเลือดได้ใช่ไหม ? ”
“ก็ทำได้เต็มที่ก็เท่านี้แหละ อย่ามาเสียเวลาอยู่เลย รีบว่ายน้ำเข้าฝั่งกันเถอะ ไม่งั้นพวกเราคงต้องตายกันที่นี่ ! ”
หลิวอวี้เหลียนรีบกวาดสายตาไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่ายามนี้ท้องฟ้ามืดทึบไปทั่วทุกสารทิศ อีกทั้งความสามรถในการมองเห็นก็ยังต่ำอีกด้วย เธอจึงขมวดคิ้วพูด “มืดขนาดนี้จะว่ายเข้าฝั่งยังไงล่ะ”
“เธอตามฉันมาก็พอ ! ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางมหาสมุทร เมื่อก่อนครั้งที่เขายังปฏิบัติภารกิจ เขาก็เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาบ้าง นี่ไม่ใช่แค่มีประสบการณ์ถึงจะรอดตายได้ แต่ยังต้องจับทิศทางได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
เมื่อทั้งสองได้ว่ายน้ำไปครู่หนึ่ง หลิวอวี้เหลียนก็สังเกตได้ว่าหลิวเฟยเหนื่อยเร็วมาก เธอเลยรีบห้ามปราม “พี่เฟย พี่ไม่ต้องว่ายน้ำแล้ว พี่กอดกระดานไม้ไว้ก็พอ เดี๋ยวฉันจะว่ายน้ำพาพี่กลับเอง พี่สบายใจได้ ฉันจะพาพี่กลับฝั่งให้ได้เลย”
หลิวเฟยฝืนทนความเจ็บปวดตรงแผ่นหลังที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “ก็ได้ งั้นเราผลัดกันว่ายและผลัดกันพัก โอเคไหม เชื่อฉันสิว่าพวกเราจะต้องกลับถึงฝั่งแน่ ๆ ! ”
หลิวอวี้เหลียนพยักหน้าอย่างมีความหวัง เธอว่ายน้ำติดกันสิบนาทีจนร่างกายเริ่มล้า จากนั้นหลิวเฟยจึงรีบให้เธอหยุดพัก แล้วเขาก็รับช่วงต่อ แต่ทว่าว่ายได้ไม่นาน เขาเองก็ไปต่อไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
หลิวอวี้เหลียนรู้ดีว่าเป็นเพราะเขาเสียเลือดมากเกินไป ไหนจะพยายามว่ายไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมคิดชีวิตอีก เมื่อมองท้องฟ้าด้านหน้ายังคงมีความมืดปกคลุมไปทั่ว จึงทำให้เธอแทบจะหมดหวังเสียจริง ๆ
จากนั้นหลิวเฟยก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องเป็นกังวล ฉันน่ะดวงแข็งจะตายไป ยังไงก็ไม่ตายง่าย ๆ หรอก และเธอก็จะต้องไม่เป็นอะไร ! ฟังจากเสียงระเบิดเมื่อกี๊ ไอ้หนุ่มนั่นมันไม่เพียงแต่จุดระเบิดที่ผูกอยู่บนตัวมัน แต่ยังจุดชนวนระเบิดที่แอบซ่อนอยู่ในห้องกัปตันเรืออีกด้วย ไม่งั้นมันคงไม่มีอานุภาพมากถึงขนาดนี้หรอก ! คิดไม่ถึงจริง ๆ เลยว่าไอ้หลิวเป้ามันจะเหี้ยมโหดได้ถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันเตรียมแผนสำรองที่กำจัดเราให้สิ้นซากไว้แล้ว ! มันบอกเองไม่ใช่หรือว่าตั้งใจจะให้พวกเราเป็นแพะรับบาป ? แต่พวกเราก็ทำให้ฝันของมันดับสลาย ! ”
หลิวอวี้เหลียนพยักหน้าและรู้สึกว่ามีกำลังใจมากขึ้น “อืม พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ ! ”
แม้จะรู้ดีว่าความหวังจะริบรี่ลงในชั่ววินาที แม้จะรู้ดีว่าหลิวเฟยอาจจะแค่ปลอบใจเธอก็เท่านั้น แต่เมื่อเห็นเขายังคงมองโลกในแง่ดี ยังคงยึดมั่นและไม่เกรงกลัวความตายก็ทำให้เธอฮึดสู้และไม่กลัวอะไรเช่นกัน เธอกัดฟันว่ายน้ำต่อไป และในขณะที่แทบจะว่ายต่อไปไม่ไหวนั้นเอง เธอได้เหลือบไปเห็นแสงไฟส่องเข้ามา และไม่นานก็ปรากฏภาพเรือสปีดโบ๊ทอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
“พี่เฟย พวกเรารอดแล้ว พวกเรารอดแล้ว ! ”
เมื่อเห็นความหวัง เธอก็ดีใจจนน้ำตารินไหลออกมา จากนั้นเธอก็ยื่นมือไปสะกิดตัวหลิวเฟย และเมื่อพบว่าเจ้าตัวไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมา เธอก็ร้องไห้โฮออกมา.....
สามวันให้หลัง ณ โรงพยาบาลเฟิ่งหวง
หลิวเฟยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นหลิวอวี้เหลียนที่ตอนนี้กำลังฟุบหลับปุ๋ยอยู่ข้างกายของเขา เขาอดใจไม่ได้ที่จะเอามือไปลูบผมตรงหน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา แต่ก็ดันปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาจนได้
เมื่อหลิวอวี้เหลียนเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้ว เธอจึงโน้มหัวเข้าไปจูบเขาสองสามครั้งเพราะหลิวเฟยนอนอยู่ในท่าคว่ำ เมื่อเขาหันหัวไปทางอื่นจึงทำให้เธอต้องจูบบริเวณส่วนหลังหัวแทน
“เชอะ ยังไงฉันก็จะจุ๊บ ! ”
หลิวอวี้เหลียนจูบเส้นผมของเขา จากนั้นก็เคลื่อนหัวของเขาให้กลับมาในทิศทางเดิมแล้วจูบต่อโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ราวกับเป็นกับเป็นแม่ไก่ที่กำลังจิกข่าวเปลือกยังไงอย่างนั้น
ทำเอาหลิวเฟยแทบจะหมดคำพูด “คนอื่นเขาหิวตายบ้าง เจ็บจนตายบ้าง แต่ฉันนี่ดีขึ้นมาหน่อย เดี๋ยวก็คงถูกเธอจูบจนตาย ! แม่สาวน้อย ต่อให้เธอหิวโซมาจากไหน เธอก็ต้องดูสภาพคนเจ็บอย่างฉันหน่อย ปล่อยฉันสักทีเถอะน่า ! ”
“ไปตายซะ เพิ่งฟื้นแท้ ๆ ยังจะมาบ่นปากเปียกปากแฉะอีก ! ”
หลิวอวี้เหลียนแกล้งผลักเขา จากนั้นก็เอาสองมือประคองคางของตนแล้วมองเขาอย่างไม่ละสายตา “หมอบอกว่าที่หลังของพี่ได้รับบาดเจ็บขั้นรุนแรง สาเหตุหลักอาจเป็นเพราะเสียเลือดมากจนเกินไป แต่ถ้าฟื้นขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ฉันสลบไปกี่วัน ? ” หลิวเฟยถาม
“สามวันแล้ว”
“ห๊ะ ? ”
เขาพยายามที่จะประคองตัวเองขึ้นมา แต่ก็ถูกหลิวอวี้เหลียนห้ามไว้ทัน จากนั้นเธอก็ถลึงตาใส่เขา “พี่จะทำอะไร ? รักษาตัวให้หายดีก่อนจะดีกว่า ! อยากกินแอปเปิ้ลไหม ? เดี๋ยวน้องสาวคนนี้ปอกเปลือกให้เอาไหม ? ”
เธอไม่เพียงแต่ทำตัวอบอุ่นเท่านั้น แต่น้ำเสียงก็ยังฟังดูอ่อนโยนอีกด้วย อีกทั้งท่าทีต่าง ๆ ของเธอก็ดูเหนียมอายกว่าเก่า เลยทำให้หลิวเฟยรู้สึกไม่คุ้นเคยกับหลิวอวี้เหลียนคนนี้
เขากระแอมเสียงดังแล้วตอบ “เอ่อ....อวี้เหลียนอย่ามาพูดแบบนี้กับฉันจะได้ไหม ? ฉันรู้สึกแปลกจนตัวแทบจะมีตุ่มอีสุกอีใสขึ้นเต็มไปหมดแล้วเนี่ย ! ”
หลิวอวี้เหลียนตีเขาเบา ๆ แล้วพูด “ทำไมจึงได้ทำตัวน่าเกลียดแบบนี้ตลอดเลยนะ ? พี่อ่ะ มีความสุขอยู่ในมือแล้วเชียวแต่ไม่รู้จักที่จะไขว่คว้า ! ”
“พวกเราเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เราก็ต่างรู้จักอีกฝ่ายกันดี จู่ ๆ เธอก็เปลี่ยนไปแบบนี้ ฉันรู้สึกไม่คุ้นเคยเลยจริง ๆ ! ”
หลิวอวี้เหลียนทำปากจู๋ จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันก็อ่อนโยนแบบนี้มาตลอด โอเคป่ะ ? เพียงแต่พี่ไม่เคยสังเกตก็เท่านั้นเอง ! อย่ามัวต่อล้อต่อเถียงอยู่เลย นอนดี ๆ เดี๋ยวฉันจะปอกแอปเปิ้ลให้กิน ! ”
เมื่อเห็นแม่สาวน้อยจอมอันธพาลจู่ ๆ ก็ทำตัวพาลขึ้นมา เขาก็แทบจะพูดไม่ออก จะว่าไปเธอก็น่ากลัวไม่น้อยเลยเหมือนกัน
ผ่านไปไม่นาน เมื่อหลิวอวี้เหลียนปอกแอปเปิ้ลเสร็จเรียบร้อย เธอก็เอามาจ่อใกล้ ๆ ปากของเขา “อ่ะ อ้าปาก ฉันจะป้อนพี่เอง ! ”
หลิวเฟยรีบตอบกลับ “ฉันกินเองได้ แค่หลังฉันได้รับบาดเจ็บ แต่มือเท้ายังใช้งานได้อยู่”
“อย่าดื้อ ! ไม่งั้นฉันจุ๊บพี่ตายแน่ ! ”
“......”
หลิวเฟยกินแอปเปิ้ลจนหมดภายใต้การดูแลของเธอ และทันใดนั้นเองก็มีกลุ่มคนในชุดตำรวจผลักประตูเข้ามา
และหลิวเฟยก็รู้จักคนที่ผู้นำในตำรวจกลุ่มนี้ดี ซึ่งเขาคนนั้นก็คือผู้อำนวยการของสถานีตำรวจประจำเมืองเฟิ่งหวง
หลิวเฟยกระแอมแล้วพูด “คิดไม่ถึงจริง ๆ เลยว่าจะมาเจอผมเร็วขนาดนี้”
ผู้กำกับการสถานีตำรวจเฟิ่งหวงพูดด้วยท่าทีโอ่อ่า “ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันคุณฟื้นมา ก็ดี หลิวอวี้เหลียนได้ให้การทั้งหมดให้พวกเราได้ฟังบ้างแล้ว และตอนนี้เราก็ต้องการคำให้การของคุณ แต่ก่อนอื่นให้หมอตรวจก่อนสักหน่อยดีไหม ? ”
“ไม่จำเป็นหรอก ตัวผมเองก็เป็นหมอและตอนนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมเข้าใจพวกคุณดี และผมจะให้ความร่วมมือและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตอนนี้แหละ ! ”
เรือประมงลำหนึ่งระเบิดกลางทะเลและยังมีคนเสียชีวิตอีกจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้คดีนี้ได้รับความสนใจมากพอสมควร
ตัวเขาสลบไปนานถึงสามวัน แม้ว่าจะมีหลิวอวี้เหลียนที่เป็นพยายานคนสำคัญอยู่ด้วย แต่ถ้าไม่มีคำให้การของเขาร่วมด้วยก็เกรงว่าพวกตำรวจอย่างเขาคงจะร้อนรนและไร้ความหวังที่จะปิดคดีนี้ให้ได้สำเร็จ
และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะต้องถูกกระแสสังคมโจมตีและก่อให้เกิดความกดดันมากถึงเพียงไหน เรื่องนี้จะต้องมีคำตอบออกมาให้สาธารณชนให้ได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลิวเฟยเข้าใจพวกเขาเป็นอย่างมาก
เขาก็เลยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนั้นให้ทางตำรวจฟังและก็มีตำรวจหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา “คุณหลิวครับ ผมไม่ได้จะมีเจตนาอะไรนะครับ ผมว่าคุณคนเดียวเอาชนะคนเก้าคนก็ว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่นี้คุณยังสามารถหลบแรงระเบิดที่มีพลังทำลายล้างสูงขนาดนั้นมาได้อีก ตกลงคุณมีเบื้องหลังยังไงกันแน่ ? และอีกอย่างคุณจะเอาอะไรมาโน้มน้าวไม่ให้พวกเราเชื่อว่าคุณเป็นคนลงมือสังหารพวกเขา จากนั้นก็วางระเบิดเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด ? ”
หลิวอวี้เหลียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ปรี๊ดแตกขึ้นมา เธอยืนขึ้นแล้วขี้หน้าต่อว่าตำรวจคนนั้น “นี่นายหมายความว่าไงห๊ะ ? หรือว่านายอยากจะจ้องจะกัดพี่เฟย ปรักปรำว่าเรามัดตัวเขาแล้วก็วางระเบิดทำลายหลักฐานทั้งหมด นายเป็นโรคประสาทรึไงฮะ ! ”
ตำรวจหนุ่มตอบอย่างใจเย็น “ได้โปรดใจเย็นก่อนเถอะครับ ในฐานะตำรวจคนหนึ่ง ผมก็ไม่อาจปล่อยบางจุดที่ดูมีเงื่อนงำได้ มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะฝีมือเขาเยี่ยมยอดมาก พวกเราก็เลย.....”
หลิวเฟยจึงหันไปส่งสัญญาณให้หลิวอวี้เหลียนใจเย็นลง เขามองไปทางผู้กำกับการแล้วพูดขึ้นว่า “จุดนี้ก็ไม่ยากนักหรอกครับ รบกวนคุณช่วยโทรศัพท์ไปถามสารวัตรประจำสถานีตำรวจตำบลโซ่วเฉิงดูสิครับว่าเบื้องหลังของผมเป็นยังไง”
เมื่อผู้กำกับการได้ยินดังนั้น เขาก็เลยโทรไปสอบถามสารวัตร และเมื่อได้คำตอบเขาก็ยิ้มแล้วพูดกับหลิวเฟย “เข้าใจแล้ว คุณก็รักษาตัวดี ๆ ล่ะ ถ้าหากว่าต้องการเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวทางเราจะมาสอบถามอีกทีละกัน พวกเราต้องขอตัวก่อน ! ”
เมื่อตำรวจหนุ่มเห็นสถานการณ์ดังนั้นจึงไม่ยอม “ทำไมท่านถึงปล่อยไปอย่างง่ายดายแบบนี้ล่ะครับ ? เขายังไม่ทันอธิบายอะไรที่ฟังขึ้นเลยสักอย่างเดียว และผมก็ได้ยินมาว่าเขากับผู้ตายมีความแค้นบาดหมางกันมาตลอด ! ”
“พอได้แล้ว ! ” ผู้กำกับการหันไปถลึงตาใส่เขาแล้วพูดอย่างดุดัน “เอาแต่สงสัย เอาแต่พยายามหาจุดผิดสังเกตมากเกินไปก็จะยิ่งทำให้ดูน่าขัน อาการป่วยแบบนายจำเป็นต้องถูกรักษา ! ”
……