ตอนที่ 48 ศึกชิงรักหักสวาท
"ใครจะรับนายเป็นอาจารย์กัน นายมัน ......"
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หานอิงก็หยุดชะงักไป เหตุผลง่าย ๆ คือเธอไม่รู้ว่าใช้คำไหนถึงจะเหมาะสมที่จะมาด่าคนอย่างเขา
ไร้ยางอาย ? พูดแบบนี้ก็เหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเขา
ไร้สัจจะ ? แม้ว่าเขาจะเป็นคนหน้าหนา เจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่ไร้สัจจะ
เลว ? ที่จริงเธออยากจะด่าเขาแบบนี้ แต่พอคิดให้ดี ตั้งแต่พวกเขารู้จักกันมา ดูเหมือนว่าเขาจะทำแต่เรื่องดี ๆ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย แม้จะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ "เลว" เช่นกัน
เธอเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ทว่าทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นอับจนคำศัพท์โดยแท้ ด้วยความที่จนปัญญาเธอจึงใช้คำว่า "รำคาญ" มาด่าแทน
แต่เมื่อพูดออกมาแล้ว เธอถึงกับรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เพราะฟังดูเหมือนว่าเธอจงใจทำตัวกระเง้ากระงอดเองต่างหาก…...
หลิวเฟยที่ได้ฟังสองคำนั้นเองก็รู้สึกแปลก ๆ เช่นกัน เขากระแอมเบา ๆ แล้วพูดต่อ "ผมยอมรับว่าคุณน่ารักบ้องแบ๊วมาก แต่วิธีออดอ้อนตาใสนั้นใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก"
"ใคร......ใครอ้อนนายกัน รู้จักดูตัวเองบ้างสิ เชอะ ! "
หานอิงหน้าแดงถลึงตาใส่เขาแล้วเปิดประตูออกไปอย่างเดือดพล่าน เธอดูออกว่าคนคนนี้รู้ว่าเธอยังหาหลักฐานไม่ได้จึงหมดหนทางที่จะจัดการเขา
ด้วยนิสัยของเธอแล้วจะต้องทุบหม้อแตกถามให้รู้เรื่องถึงที่สุด แต่คิดว่าสารวัตรโหลวเองก็คงเห็นคนร้ายที่ทั้งหัวเราะและคันฉากนั้นเช่นกัน และคิดว่าต้องมีความเชื่อมโยงกับคดีของหวางไฉด้วยแน่นอน ทว่าต่อหน้าหลิวเฟยแล้วเขากลับไม่เอ่ยถึงสักคำ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาและหลิวเฟยต้องรู้เห็นเป็นใจกันแน่
หากว่าเธอยังไม่ยอมรามือจากหลิวเฟย คาดว่าคงจะถูกสารวัตรตำหนิเอาได้ !
อีกอย่าง หลิวเฟยเองก็พูดถูก เขาเป็นฝ่ายที่ช่วยชีวิตคน หากเธอหาหลักฐานที่จะมัดตัวเขาได้แล้วจะยังไงเล่า ? จะจับเขาเข้าคุกหรือ ?
พูดกันตามตรง เธอแค่มีความสงสัยรบกวนจิตใจ อยากที่จะรู้ว่าหลิวเฟยเป็นใครกันแน่ และอยากรู้ว่าเขาทำยังไงถึงทำให้คนทั้งหัวเราะทั้งคันได้ในเวลาเดียวกัน
"เฮ้ อย่าเพิ่งไปสิ ไม่อยู่ดื่มชาก่อนหรือ ? "
หลิวเฟยที่ออกมาจากห้องเห็นว่าหานอิงกำลังจะไปแล้ว จึงได้ตะโกนเรียก
ผู้หญิงคนนี้น่าแกล้งนัก แล้วเธอยังเป็นประเภทที่ยิ่งแกล้งก็ยิ่งน่ารักอีกด้วย เขาเองไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาเป็นตำรวจหญิงนะ ? หากว่าไปเป็นครูในโรงเรียนประถมต้องกลมกลืนไปกับพวกเด็ก ๆ ได้แน่นอน......
โหลวหลวนเหมือนจะคาดเดาได้ว่าหานอิงและหลิวเฟยคุยกันเรื่องอะไรกัน เขาตบบ่าแล้วกระซิบ "ฉันรู้ว่าฐานะของนายพิเศษ แล้วก็มีความอดทนอีกด้วย แต่เรื่องบางอย่างก็บังคับกันไม่ได้ อย่าใช้มันง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะจัดการยาก ! "
หลิวเฟยหัวเราะ "นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ! ผมรู้ว่าอะไรสำคัญ"
"อย่างนั้นก็ดี ทำให้ดีเถอะ ฉันได้ยินมาว่าระหว่างนายกับนายกตำบลถังได้เดิมพันกันไว้ ตำบลโซ่วเฉิงของเราคงไม่มีใครกล้าเดิมพันกับนายกตำบลถังอีกเป็นคนที่สองแล้ว ฉันล่ะนับถือนายเลย"
"ขายหน้าแล้วสิ ! "
"ขอเพียงแค่นายสร้างปาฏิหาริย์ได้จริง เมื่อถึงเวลานั้นก็ถือเป็นความโชคดีของชาวบ้านในหมู่บ้านแล้ว ! "
"ที่จริงลึก ๆ คุณเองก็ไม่เชื่อผมเหมือนกันล่ะสิ ? "
"ฮ่าๆๆ......นายนะนาย ฉันไปดีกว่า แล้วพบกันใหม่ ! "
โหลวหลวนชี้หน้าแล้วหัวเราะใส่เขาขณะเดินจากไป
หลิวอวี้เหลียนรีบดึงแขนของหลิวเฟยไว้ "ได้ยินมาว่าเข็มเงินของพี่น่ะเป็นทีเด็ดเลย สอนฉันหน่อยเถอะ ! ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ตกลงกันว่าพี่จะสอนให้ทุกวันเลยนี่ ? พี่มันคนหลอกลวง ! "
หลิวเฟยส่ายหน้า "ช่วงนี้งานยุ่งมาก แล้วเธอเองก็ยังไม่ทำตามสัญญาที่ให้กับฉัน ฉันยุ่งจนลืมไปแล้ว"
"ถ้างั้นก็เริ่มวันนี้เลยสิ ฉันจะเรียน ! "
หลี่อวิ๋นโหรวเม้มปากแล้วพูด "ฉันเรียนด้วยได้ไหม ? ถ้าหากก่อนหน้านี้ฉันได้เรียนสักกระบวนท่า วันนี้ก็คงไม่ต้องตกที่นั่งลำบากขนาดนี้หรอก"
หลิวเฟยมองหน้าพวกเธอแล้วพูด “จะว่าได้มันก็ได้อยู่ แต่ว่าวันนี้ทรมานมาทั้งวันแล้ว พวกเธอไม่เหนื่อยหรือ ? เอาไว้ช่วงเย็นวันพรุ่งนี้เถอะ”
หลิวอวี้เหลียนมองตาหลี่อวิ๋นโหรว "ได้ ตกลงตามนี้แล้วกัน ! ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันและอวิ๋นโหรวจะไปช็อปปิ้งซื้อชุดสำหรับใส่ฝึกวิชาต่อสู้ 2 ชุด ไหน ๆ ก็จะต้องเรียนแล้วก็ต้องทำตัวให้เหมือนนักเรียนหน่อย"
หลิวเฟยหัวเราะ "ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นก็จัดพิธีไหว้ครูซะเลยเป็นไง ? "
หลิวอวี้เหลียนถลึงตาใส่ "ไสหัวไป ฉันไม่ได้อยากเป็นลูกศิษย์ของพี่ซะหน่อย ! "
หลิวอวิ๋นโหรวพูดด้วยท่าทางนอบน้อม "ฉันยังไงก็ได้ แต่ในเมื่ออวี้เหลียนพูดแบบนี้ ฉันก็จะยืนข้างเธอ นายเข้าเมืองไปเจรจาตกลงเรื่องต้นเชอร์รี่มาไม่ใช่หรือ ? เป็นยังไงบ้าง ? "
หลิวอวี้เหลียนพูด "จะเป็นยังไงล่ะ ? เขาต้องถอนตัวแน่ ! มีแต่คนสติไม่ดีเท่านั้นถึงจะยอมซื้อเชอร์รี่ของเขาในราคาที่สูงขนาดนั้น"
หลิวเฟยส่ายหน้า "พวกเธอไม่เชื่อถือฉันขนาดนั้นเลยหรือ ? พูดตามจริงแล้ว คงทำให้พวกเธอผิดหวังแล้ว ! ฉันทำสัญญาตกลงกับเครือข่ายการค้าผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฟิ่งหวงในราคากิโลกรัมละ 200 หยวนได้จริง ๆ สัญญาก็เซ็นเสร็จแล้วด้วย"
หลิวอวิ๋นโหรวพูดด้วยความตกตะลึง "ไม่จริงมั้ง ? แบบนี้ก็ได้หรือ ? แล้วสัญญาล่ะ ? "
หลิวเฟยมองไปรอบทิศทาง แล้วหัวเราะด้วยความเก้อเขิน "เหมือนว่าฉันจะทำตกไว้ที่โรงแรมซันริชนะ"
ที่จริงแล้วทำตกไว้ที่บ้านโม่อวี้ต่างหากล่ะ.....
หลิวอวี้เหลียนหัวเราะเสียงดังออกมา "พี่คงแค่กุเรื่องขึ้นมาล่ะสิ หากไม่ได้เห็นสัญญา พวกเราไม่มีทางเชื่อหรอก หึ ! "
"ถ้างั้นก็ตามใจเธอสิ"
หลิวเฟยยักไหล่แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
……
กลางคืนวันที่สอง ในตอนที่หลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวปรากฏกายด้วยชุดเบาบางสีดำ ทำเอาหลิวเฟยไม่รู้ว่าจะมองไปทางไหนก่อนดี
พวกเธอสองคนต่างมีรูปร่างเย้ายวน การสวมชุดเบาบางแบบนี้ทำให้รูปร่างอรชรเซ็กซี่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าชายคนไหนได้เห็นก็คงถูกดึงความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างของเธอทั้งสอง แล้วแบบนี้จะให้เขาสอนศิลปะป้องกันตัวให้พวกเธอยังไงล่ะ ?
หลิวอวี้เหลียนที่พอจะคุ้นเคยกับการแต่งตัวแบบนี้ อีกทั้งยังเคยเล่นกับหลิวเฟยตั้งแต่เล็กจนโต เธอจึงเดินไปมาต่อหน้าหลิวเฟยอย่างเปิดเผยโดยไม่เก้อเขิน
แต่หลี่อวิ๋นโหรวนั้นทำตัวไม่ถูก รู้สึกเก้อเขินอย่างเห็นได้ชัด ทว่าท่าทางแบบนี้กลับทำให้เธอดูสวยมีเสน่ห์มากขึ้น
หลิวเฟยทำปากขมุบขมิบอยู่ในลำคอแล้วเตรียมตัวที่จะสาธิตกระบวนท่า ทว่าหลิวอวี้เหลียนกับพูดแทรกเข้ามา "พี่เฟย พี่อย่าได้คิดฉวยโอกาสทำอะไรไม่ดีนะ ไม่อย่างนั้นฉันกับอวิ๋นโหรวรวมหัวกันจัดการพี่แน่ ! "
หลิวเฟยหัวเราะเสียมิได้ นี่มันตรรกะโจรอะไรเนี่ย แต่งตัวแบบนี้แต่ไม่อนุญาตให้มองอีก แบบนี้มันสมเหตุสมผลหรือ ?
เขาส่ายหน้าแล้วสาธิตกระบวนท่าง่าย ๆ “มาเริ่มฝึกเถอะ ! ”
หลิวอวี้เหลียนที่พอมีพื้นฐานการต่อสู้ กระบวนท่าง่าย ๆ แบบนี้ไม่ยากสำหรับเธอเลย แต่สำหรับหลี่อวิ๋นโหรวนั้นไม่เหมือนกัน มือและเท้าที่เก้ ๆ กัง ๆ ของเธอนั้นยังไม่พูดถึง แม้กระทั่งตัวทั้งตัวก็เหมือนจะไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อ
หลิวเฟยเดินไปข้างกายเธอแล้วยืนลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะยื่นมือไปจับมือที่ขาวนุ่มลื่นราวกับหยกของเธอไว้ แล้วเริ่มจับมือกันสอน
ในระหว่างที่สอนนั้น ร่างกายทั้งสองคนก็ใกล้ชิดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลิวอวิ๋นโหรวมักจะแสดงท่าทางไวต่อความรู้สึกออกมา ทำให้หลิวเฟยอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
เธอเป็นคนมีคู่หมั้นแล้วจริงหรือ ? ดูไม่เหมือนเลย หรือว่าอาจจะเป็นการคบกันแบบจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ ? เหอะ ๆ......
หลิวอวี้เหลียนที่เห็นการกระทำใกล้ชิดของหลิวเฟยที่ทำต่อหลี่อวิ๋นโหรวก็เกิดรู้สึกหึงหวงขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอเม้มปากแล้วพูดโพล่งขึ้นมา "พี่เฟย ท่านี้ฉันทำยังไงก็ออกได้ไม่แรงเลยน่ ะ ?"
หลิวเฟยมองสักพักแล้วพูด "แขนต้องแกว่งไปตามเข็มนาฬิกา ไม่ใช่ทวนเข็มนาฬิกา"
"อะไรคือตามเข็มนาฬิกาหรือ ? "
“……”
หลิวเหยให้หลี่อวิ๋นโหรวฝึกไปก่อนโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ไปจับมือหลิวอวี้เหลียนจากทางด้านหลัง ใครจะคิดว่าเธอเองก็เป็นฝ่ายถอยหลังทำให้ร่างกายของพวกเขาสองคนแทบจะแนบชิดกัน จากนั้นก็บิดตัวเบียดเสียดออดอ้อนเขา
การกระทำทั้งหมดของเธอทำให้หลิวเฟจิตใจปั่นป่วน เขาพยายามรักษาระยะห่างสุดความสามารถ แต่หลิวอวี้เหลียนก็ยิ่งถอยชิดเข้ามา เขาบีบไหล่มนของเธออย่างจนปัญญา เมื่อหลี่อวิ๋นโหรวส่งสายตามอง เธอถึงจะสำรวมอาการขึ้นบ้าง…...
สอนไปได้ครึ่งชั่วโมงกว่า หลิวอวี้เหลียนเอียงหน้าไปหอมแก้มเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง "ขอบคุณนะ พี่เฟย ! "
หลิวเฟยมองไปที่หลี่อวิ๋นโหรวแล้วส่ายหัวน้อย ๆ แอบคิดว่าถ้าหากคนที่ไม่รู้จักคงเข้าใจว่าเธอไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศแถบตะวันตกมา ! การกระทำของเธอที่หอมแก้มคนอื่นโดยไม่บอกไม่กล่าวนั้นทำให้ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีจริง ๆ
หลิวอวิ๋นโหรวเมื่อเทียบกับหลิวอวี้เหลียนแล้วดูสงบเสงี่ยมกว่ามาก เธอทัดปอยผมไว้ที่หูแล้วมองไปทางหลิวเฟย "พอเรียนแล้วถึงได้รู้ศิลปะการต่อนั้นยากมาก นายเก่งกาจมากจริง ๆ "
หลิวเฟยกระแอมออกมาแล้วพูด "เลขาหลี่ เธอชมฉันอีกแล้วนะ ! ไม่ง่ายเลย ! "
หลิวอวี้เหลียนหัวเราะเสียงใส "พี่เฟย ฉันว่าเอาแบบนี้สิ ให้อวิ๋นโหรวซื้อดอกไม้สีแดงไว้เยอะ ๆ วันหลังถ้าพี่ทำออกมาได้ดีแล้วเธออยากจะชมพี่ ก็มอบดอกไม้แดงให้พี่ 1 ดอก พี่ว่าเป็นยังไง ? ”
หลิวเห็นหน้าขรึม "เธอเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบหรือไง ? "
“คิกๆๆ ก็เหมือนอยู่นะ......"
เมื่อทั้งสองได้ยินก็หัวเราะกันออกมาอย่างสดใสแลดูมีเสน่ห์ หลิวเฟยที่มองดูอยู่สักพักจึงรีบไปอาบน้ำเย็น ๆ เพื่อดับไฟที่ร้อนวูบวาบอยู่ภายในตัวให้สงบลง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจเข้าแล้วสิ ทำไมถึงได้ตอบตกลงที่จะสอนศิลปะการต่อสู้ให้พวกเธอกันนะ ? แบบนี้เหมือนเป็นการบังคับตัวเองให้เป็นอย่างหลิวเซี่ยฮุ่ยที่นั่งอย่างสงบไม่วอกแวกไม่ใช่หรือไง ? เขาเพียงแค่จะบอกว่าทั้งสองสวยเกินไป เขาทำไม่ได้หรอก! (หลิ่วเซี่ยฮุ่ย เป็นคนหลู่กั๋ว (鲁国)สมัยยุคชุนชิวจ้านกั๋ว(春秋战国时期) ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของบุรุษผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง ต่อให้ผู้หญิงมานั่งตักเขา มายั่วยวนเขา แต่เขาก็ยังคงนิ่งสงบ ไม่แตะต้องเธอเลยแม้แต่น้อย จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ‘坐怀不乱 จั้วไหวปู้ร่วน’ ใช้พูดถึงชายที่มีคุณธรรมและมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง)
วันถัดมาหลิวเฟยมาส่งของให้ทางโรงแรมซันริชก่อนเวลาชั่วโมงกว่า จากนั้นไปที่โรงพยาบาลเฟิ่งหวงทำการผ่าตัดให้หลี่ซานซานครั้งที่สอง
หลังจากผ่าตัด เขาก็ช่วยเธอฝังเข็มตามจุดสำคัญและทายาขี้ผึ้งจนเสร็จ เขารู้สึกเหนื่อยมาก เดิมทีว่าจะกลับไปพักผ่อนที่หมู่บ้านหลิว ใครจะรู้ว่าอยู่ ๆ หลี่เจิงอีก็รีบร้อนมาลากเขาเข้าไปในห้องประชุม แม้แต่เนื้อหาการประชุมก็ไม่ยอมบอกเขาเลยสักคำ
หลิวเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วมองดูชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังพูดภาษาจีนอย่างใจร้อน หลิวเฟยได้แต่เกาศีรษะด้วยความรำคาญ
ผู้อำนวยการหลี่ก็ร้ายเกินไปแล้ว เขาคงไม่ได้ลากเขามาที่นี่เพื่อมารวมหัวกันหรอกนะ ?
เขาเกลียดการประชุมที่สุด โดยเฉพาะการประชุมวิชาการที่น่าเบื่อแบบนี้
เขานั้นอยากจะลุกแล้วเดินออกไปเลย แต่นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขากับผู้อำนวยการหลี่นั้นสนิทกันแล้ว ไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายบ้างคงดูไม่ดี จึงทำได้เพียงทนนั่งต่อไป แต่ทว่าดวงตานั้นได้พริ้มหลับไปแล้ว......
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาที่กำลังหลับฝันหวานอยู่กลับได้ยินเสียงถกเถียงกันดังขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้วค่อย ๆ ลืมตา จึงได้เห็นว่าคนบนโต๊ะยาวฝั่งซ้ายและฝั่งขวายืนขึ้นมาถกเถียงกันตาต่อตาฟันต่อฟัน อีกทั้งสถานการณ์ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้น พร้อมที่จะลงมือวิวาทกันได้ทุกเมื่อ
พวกคุณหมอทะเลาะกัน ?
หรือว่าจะให้ทำร้ายอีกฝ่ายแล้วค่อยช่วยรักษาหรือ ?
หลิวเฟยคิดแล้วก็รู้สึกขำ เขายืนขึ้นแล้วบิดขี้เกียจแล้วมองดูรอบข้างด้วยสายตาเฉยชา แต่ท่ามกลางเสียงที่วุ่นวายอลหม่านในหมู่นักวิชาการกลับได้ยินประโยคหนึ่งที่ทำให้เขาโมโหขึ้นมาทันที.....