px

เรื่อง : ราชันสามภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 1 บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ กำเนิดใหม่


ตอนที่ 1 บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ กำเนิดใหม่

 

-------------------------

เจี้ยงเฉิงรู้สึกราวกับว่าสมองของเขาแน่นไปหมด ราวกับความฝัน แต่มันกลับรู้สึกเหมือนจริงเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังทุกซอกทุกมุม กระดูกทุกแท่งในร่างกายของเขา ต่างร่ำร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

 

"นี่ข้าตายแล้วงั้นรึ? นี่ข้ากำลังจะไปสู่นรกภูมิหรือไร"

 

สิ่งแรกที่แทรกเข้ามาในโสตประสาทของเจี้ยงเฉิงคือความรู้สึกถึงความตายของตนเอง แต่ว่าลมหายใจอันแผ่วเบาที่ยังอยู่บนร่างของเขานั้น ทำให้เขารู้สึกว่า เขายังไม่ตาย!!!

 

เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดเจี้ยงเฉิงก็ฝืนลืมตาขึ้นในที่สุด และสิ่งที่พบก็คือ เขาอยู่ภายในโลงศพ!!!

 

ในโลงศพงั้นเหรอ? นี่แสดงว่าข้าตายไปแล้วจริงๆ? เจี้ยงเฉิงคิดอย่างเศร้าใจ

 

"น่าขันนัก ข้า! เจี้ยงเฉิง บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ ผู้ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในร่างของหยิน ทำให้ไม่สามารถฝึกพลังเต๋าได้ บิดาของข้า ท่านจึงได้ปรุงโอสถเทพนามว่า ยาสุริยันจันทราให้กับข้า ให้ข้าได้มีชีวิตยืนยาวตราบเท่าที่สวรรค์ยังคงอยู่ สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นเพียงแค่ภาระของท่านเท่านั้น ข้าทำได้เพียงยอมจำนนต่อความตายเมื่อหายนะได้คืบคลานมาถึงสรวงสวรรค์....."

 

"หืมม..เกิดอะไรขึ้นกับจิงเล่อ(เส้นชีพจร)กัน ทำไมมันถึงมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ได้? แต่มันกลับอ่อนแอมาก...เดี๋ยวก่อนนะ..นี่มัน..นี่มันไม่ใช่ร่างกายของข้านี่..นี่มันไม่ใช่ร่างกายของข้าจริงๆ ข้าที่เกิดมาพร้อมกับร่างหยิน มันจะมีพลังปราณไหลเวียนอยู่ในร่างได้ยังไงกัน?"

 

"และถ้าหากว่าข้าตายจริงๆ แล้วทำไมถึงมีพลังปราณไหลเวียนอยู่?"

 

เหมือนดั่งประกายไฟสว่างว๊าบขึ้นในสมองของเจี้ยงเฉิง เขาค่อยๆ ลุกออกจากโลงศพอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเขารับรู้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาจริงๆ

 

"นี่มัน....นี่มันเป็นร่างของใครกัน?" เขารู้สึกทั้งยินดีและประหลาดใจมาก

 

เขาค่อยๆ ฟื้นความทรงจำของเจ้าของร่างได้ทีละนิดๆ

 

"เจ้าของร่างนี้ชื่อว่า "เจี้ยงเฉิง"? บุตรชายของเจี้ยงหานขุนนางแห่งอาณาจักรตะวันออก แม้ชื่อจะเหมือนข้า แต่ก็ไม่ใช่ข้า ข้าคือบุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ ข้ามายังที่อาณาจักรของมนุษย์ได้ยังไงกัน" ในสมองของเขานั้นตอนนี้มีคำถามมากมายพรั่งพรูออกมา

 

"นี่ข้าตาย ในสงครามที่เกิดขึ้นงั้นรึ? นี่คือการถือกำเนิดใหม่ตามตำนานงั้นเหรอ? สวรรด์ได้ถูกทำลาย ทำให้กงล้อแห่งชีวิตถูกทำลายไปด้วย...ข้าถูกฆ่าในสงครามทำให้หลุดเข้าไปยังกงล้อแห่งชีวิต งั้นก็หมายความว่า.....ข้ากำเนิดใหม่จริงๆ" เจี้ยงเฉิงค่อยๆ เข้าใจในที่สุด หลังจากได้อ่านเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจี้ยงเฉิงคนก่อน

 

"แม้ว่าในชีวิตก่อนหน้าข้าจะเกิดมาสูงส่ง แต่ข้ากลับไม่สามารถฝึกปรือได้เพราะร่างหยิน แต่ตอนนี้ข้าเกิดมาใหม่ในร่างของบุตรแห่งตระกูลขุนนางในอาณาจักรที่แสนน่าเบื่อแต่ข้ากลับสามารถฝึกปรือพลังปราณได้....ฮ่าๆ ช่างน่าขันนัก"

 

"สวรรค์ถูกทำลายกลายเป็นเศษซากไปแล้ว.....ข้า เจี้ยงเฉิง ใช้ชีวิตมานานนับล้านปีอย่างไรประโยชน์ในชาติก่อน แม้ว่าข้าจะต้องดับสลายไปพร้อมกับดวงตะวันและจันทรา ข้าก็จะไม่อ้อนวอนใครแม้ว่ากรียุคจะมาเยือน ร่างกายหยินนั้น ไม่สามารถฝึกได้ มันจึงทำให้คนอื่นๆ นั้นมองมาที่ข้าด้วยความเวทนาสงสาร ชะตาของข้าก็เปรียบดั่งเศษฝุ่นที่ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย และยังถูกทำให้หายไปได้ด้วยสายลมเพียงเล็กน้อย"

 

เจี้ยงเฉิงเริ่มที่จะเศร้าโศก เมื่อเริ่มคิดถึงอดีดที่เคยผ่านมา นอกจากนี้บิดาของเขายังยอมเสียทรัพย์สินมากมายเพื่อหลอมโอสถเทพ ยาสุริยันจันทรา เพื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตภายใต้ร่างกายปางตายนี้ตราบจนกว่าดวงตะวันและจันทราจะทลายไป

 

เขารู้ดี ว่าชีวิตและความตายไม่มีวันมาบรรจบกันตราบชั่วนิจนิรันดร์

 

แม้ว่าเขาจะมีชีวิตมากว่าล้านปี แม้ว่าเขาจะฉลาดล้ำ แต่เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่บิดาเคยดูแลเอาใจใส่เขา น้ำใสๆ ก็เจิ่งนองออกมาจากดวงตาของเขา

 

เขารู้ดี สวรรค์นั้นพังทลายแล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจล้นเหลืออย่างจักรพรรดิสวรรค์ แต่ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดไปจากสงครามครั้งนี้ได้

 

เจี้ยงเฉิงเริ่มจะดำดิ่งลงไปสู่ความคิดเบื้องลึกของตนเอง

 

ทันใดนั้นเองก็ราวกับฟ้าผ่าเข้าสู่จิตวิญญาณของเขาเมื่อจิตวิญญาณของเขาเข้าสัมผัสกับเส้นชีพจร มันเหมือนกับว่าคนที่จะตายเพราะกระหายน้ำได้พบกับบ่อน้ำพุนั่นเอง

 

การไหลของลมปราณนั้นอ่อนแอมาก เบาบางจนแทบจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่ แต่ว่ามันก็ทำให้เขาปัดเป่าความคิดหดหู่ออกไปได้พอสมควร

 

"ฝึก! ฮ่าๆ ฝึกงั้นเหรอ? นี่มันน่าขันนัก กับคนที่เกิดมาด้วยร่างหยินแบบข้า ในชีวิตก่อนข้าไม่สามารถฝึกฝนได้ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ แต่ตอนนี้ข้ากลับสามารถฝึกฝนได้จากการที่ข้าถือกำเนิดใหม่ นี่ไม่ใช่ว่าประตูแห่งโชคชะตากำลังเปิดรับข้าหรอกหรือ?"

 

"ข้าผู้เป็นถึงบุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ผู้สูงส่ง และใชชีวิตอยู่ในหอคัมภีร์เที่ยนหลางมานับล้านปี ข้าศึกษาตำรามานับไม่ท่วน ข้าเข้าใจการฝึกทุกอย่างที่เคยมีมา และข้ายังถูกยกย่องในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ความรู้ทั้งหมดของข้ากลับไม่สามารถทำได้จริง แต่ตอนนี้ข้า! สามารถฝึกฝนได้แล้ว ต้องขอบคุณการเกิดใหม่ครั้งนี้จริงๆ ฮ่าๆ นี่ข้าต้องกลัวอะไรอีกงั้นเหรอ? ข้ามีเหตุผลอะไรที่ต้องยอมแพ้กัน?" เจี้ยงเฉิงระบายเหตุผลต่างๆ นาๆ ออกมา เหมือนดั่งได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่เขาแบกรับไว้ทั้งหมด

 

ความรู้สึกเชิงลบของเขาค่อยๆ มลายหายไปในที่สุด เขารู้สึกว่าการเกิดใหม่ครั้งนี้ มันคือโอกาศในการเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง!!!

 

อันที่จริงแล้วลักษณะท่าทางของเจี้ยงเฉิงเมื่อชาติที่แล้ว ไม่มีบุตรของขุนนางคนไหนเทียบเคียงเขาได้เลย

 

แต่ว่า แม้แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดกลับมีความสามารถที่เขาไม่มี นั่นคือความสามารถในการฝึกฝน!!

 

ความสามารถในการฝึกฝนมันเป็นเหมือนกับสิ่งที่ทุกคนมี

 

แต่เมื่อชาติก่อนเขามีชื่อเสียงมากในเรื่องของความหยิ่งยโสโอหัง เหมือนดั่งมังกรและนกฟินิค แต่เขาทำได้เพียงยืนมองอยู่ข้างสนามเท่านั้น

 

และตอนนี้ในชีวิตนี้ แม้ว่าจะโดนดูถูกเป็นดั่งมดปลวก แต่เขามีความสามารถที่จะก้าวขึ้นไปยังจุดสูงสุด!!

 

การฝึกฝนนั้นไม่สิ้นสุด ไม่ว่าใครก็สามารถกำหนดชะตาที่ดีได้ สักวันหนึ่งจะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง แม้แต่มดก็สามารถมีปีกโบยบินสู่ทรวงสวรรค์ได้

 

และตอนนี้!! โอกาสนั้นได้มาถึงข้าแล้ว!!

 

บุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ ผู้ซึ่งใช้ชีวิตนับล้านปีศึกษาความรู้ในหอคัมภีร์เที่ยนหลาง มันไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริงไป หากจะกล่าวว่าผมนี่แหละคือสารานุกรมเดินได้ที่รวมความรู้ทั้งหมดบนโลกใบนี้

 

ภายในร่างของเขาอัดแน่นไปด้วยความรู้อย่างมหาศาล ไม่มีความรู้ไหนที่เจี้ยงเฉิงจะไม่เข้าใจ

 

แม้ว่าในชีวิตก่อนเขาจะใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่ายเพราะฝึกไม่ได้ไปหลายไป แต่เขาก็ชอบให้คำแนะนำให้กับเหล่าศิษย์อยู่บ่อยๆ

 

เขาสร้างเหล่าอัจฉริยะขึ้นมามากมายในช่วงชีวิต

 

โอกาสคืออะไรงั้นเหรอ?

 

เขาได้รับการเกิดใหม่ ด้วยความทรงจำของบุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ และอยู่ในร่างลูกของขุนนางผู้หนึ่งนามว่า เจี้ยงเฉิง

 

คำแนะนำต่างๆ ที่เขาเคยแนะนำเหล่าลูกศิษย์ ในที่สุด วันนี้เขาก็สามารถนำมันมาใช้กับตนเองได้แล้ว

 

นี่แหละโอกาศ!!!!

 

เจี้ยงเฉิงแทบจะควบคุมร่างกายของเขาไม่อยู่

 

ในจังหวะนั้นเอง มีเสียงกระแทกของอะไรซักอย่างดังขึ้น!! มีบางอย่างแตกหัก!!

 

เสียงกระแทก!!

 

"เจี้ยงหยิง หาทางแก้มาให้ได้!! ไม่ว่ามันจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ตาม!!!" เจี้ยงเฟิง ขุนนางของเจี้ยงหาน เขาปาแจกันด้วยความโกรธ ราวกับจะแผดเผาดินแดนแก่งนี้ด้วยความพิโรธของเขา

 

"นายท่าน พวกเราได้เบาะแสมาแล้ว" เจี้ยงหยิงกล่าวด้วยความนอบน้อม เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า "แม้ว่านายน้อยจะไม่ขยันฝึกปรือ แต่นายน้อยก็ยังอยู่ในระดับนักสู้ของระดับลมปราณแท้จริง แถมยังสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างหมดจด ไม่มีทางที่จะไม่สามารถควบคุมก๊าซได้แน่นอน"

 

"งั้น..ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ต้องมีคนที่ต้องการทำให้เฉิงเอ๋ออับอายในพิธีบูชาสวรรค์นี้แน่ หืมมม มันต้องการทำให้องค์ราชาพิโรธงั้นรึ?" น้ำเสียงของเจี้ยงเฟิงเริ่มที่จะอันตรายขึ้นเรื่อยๆ

 

"นายน้อยทานอาหารเช้ากับเหล่าสหายที่ Autumn Crane เช้านี้ แต่ข้ากลับไม่เจอร่องรอยใดๆ ที่ Autumn Crane เลย แต่ข้ากลับเจอร่องรอยของ "ผงสามหัวเราะ" ที่ตัวของนายน้อย"

 

ผงสามหัวเราะ?

 

ใบหน้าของเจี้ยงเฟิงเริ่มมืดคล้ำขึ้น ทำไมเขาจะไม่รู้จัก "ผงสามหัวเราะ" เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายของผู้คน มันไม่ส่งผลใดๆ กับร่างกาย แต่มันจะส่งผลกับการเดินพลังปราณภายในร่างให้ไหลเวียนได้น้อยลง มันจะกระจายเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย

 

บุตรของเขาได้ขับก๊าซอันแสนน่ารังเกียจอออกมา ทำให้องค์ราชาพิโรธ ในระหว่างพิธีบูชาสวรรค์ ต้องเป็นเพราะ ผงสามหัวเราะแน่ๆ

 

"นี่มันจะเหมาะเจาะเกินไปแล้ว ต้องมีคนวางแผนไว้แน่ๆ" หลังจากที่เขาเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ในที่สุดเจี้ยงเฟิงก็เข้าใจในที่สุด

 

"นายท่าน นี่คือรายชื่อของคนที่ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับนายน้อย อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างเป็นบุตรของขุนนางท่านอื่นๆ เพราะฉะนั้น มันจึงยากมากที่จะหาคนผิดตัวจริง" เจี้ยงหยิงคือมือขวาของเจี้ยงเฉิงเขาเป็นที่มีค่าอย่างมาก แถมยังซื่อสัตว์อย่างยิ่ง

 

"ไป ไปตรวจสอบมาให้ละเอียด ต่อให้ข้าต้องสูญเสียตำแหน่ง หรือถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ข้าก็มิอาจนิ่งเฉยอยู่แบบนี้ได้หรอก ในเมืองลูกของข้าถูกฆ่าตายเช่นนี้"

 

ตอนนี้เจี้ยงเฟิงไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของใครทั้งนั้น

 

บรรพบุรุษของตระกูลเจี้ยงเป็นตระกูลที่ตงฉินมาก แต่ก็ไม่ใช่ตงฉินจนโง่

 

ตระกูลเจี้ยงนั้น มีสายสัมพันธ์อันยาวนานกับเชื้อพระวงค์ของอาณาจักรตระวันออก ปกป้องอาณาจักร ต่อสู้ในสงคราม และยืดมั่นในจุดยืนของตนเอง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้รับตำแหน่งสำคัญๆ แต่ตอนนี้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา ต้องถูกโบยจนตาย!!

 

ขุนนางไม่จำเป็นต้องซื่อสัตย์หากนายเหนือหัวไม่คู่ควรกับมัน ผู้คนคงก่อจลาจลไปแล้วหากมันไม่ใจเย็นขนาดนี้

 

ราวกับภูเขาไฟจะปะทุออกมาจากอกของเขา เจี้ยงเฟิงนึกถึงใบหน้าที่แสนเย็นชาของขององค์ราชาหลู่แห่งตะวันออกที่ออกคำสั่งประหาร ในสายตาของมันแสดงออกถึงความพึงพอใจเมื่อเห็นบุตรชายของเขาถูกโบยจนต้องจบชีวิตลง และลงไปอยู่ภายใต้โลงแห่งนั้น

 

เขาเร่งรีบกลับไปยังดินแดนของตนเอง และเมื่อเขาก้าวเข้าสู่เมืองของตนเอง เขาต้องพบกับแม่น้ำโลหิตที่นองไปทั่วพื้นอันเกิดจากผู้ใต้การปกครองของเขากว่าแสนคน!!

 

เมื่อได้ฟังคำกล่าวเหล่านั้น รวมกับเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลืออยู่ในร่างกายนี้ เขาก็รับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

เจ้าของร่างคนเก่านั้นผายลม ในจังหวะที่ไม่ดี ในระหว่างพิธีบวงทรวงสวรรค์!!!

 

พิธีการนี้เป็นพิธีที่สำคัญมากในดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นราชาและขุนนางทั้ง 108 คนจากอาณาจักตะวันออกต่างให้ความสนใจกับพิธีกรรมครั้งนี้ เพื่ออวยพรให้กับบุตรสาวอันเป็นที่รักของราชาหลู่

 

ทั้งราชาและขุนนางต่างๆ ต่างช่วยกันเตรียมงานสำหรับพิธีการครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่เสื้อผ้าพวกเขาก็เปลี่ยนใหม่ นอกจากนี้ยังมีเครื่องหอมกลิ่นดอกซุนยี่เซาอยู่เต็มไปหมด

 

ในอีกนัยหนึ่ง ทุกคนต่างชำระล้างตัวเองให้หมดจดเพื่อที่จะขอพรต่อสวรรค์

 

ในตอนแรกนั้นทุกอย่างต่างเป็นไปอย่างราบรื่น

 

แต่ในจังหวะที่ราชาและขุนนางคนอื่นๆ กำลังก้มหัวลงสู่พื้นเพื่อทำการสวดมนต์นั้น เจี้ยงเฉิงก็ได้ผายลมออกมา!!

 

ทุกคนต่างทราบดีว่าการคำนับเพื่อสวดอ้อนวอนนั้น มันสำคัญมากขนาดไหน และสิ่งที่สำคัญในช่วงเวลานี้ก็คือความเงียบ เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกับเหล่าเทพ!!

 

แต่ว่าเจี้ยงเฉิงกลับผายลมออกมา ทำลายความเงียบสงบนั้นทันที ส่งผลหพิธีการนั้นต้องพังทลาย!!

 

ทุกคนต่างรับทราบในทันทีว่าการผายลมครั้งนี้นั้นเต็มไปด้วยก๊าซที่ไม่พึงประสงค์และเสียงเบามาก ถ้านี่เกิดในช่วงเวลาปกติ ทุกคนก็จะไม่สนใจมันเลย

 

แต่การผายลมครั้งนี้นั้นยาวนานและเหม็นมาก มันเหมือนกับการดูหมิ่นเกียรติของเหล่าทวยเทพ ทันใดนั้นหลวงจีนระดับสูงก็ตกใจ พลางสบถเสียงดังลั่น ราวกับการผายลมนั้นได้ทำลายเสาสวรรค์ ทำให้นภาถล่มกิมิปาน

 

มันส่งผลให้ราชาพิโรธอย่างเกรี้ยวกราด เขารักบุตรสาวของตนเองมาก เขาสั่งให้เหล่าทหารนำตัวของเจี้ยงเฉิงออกไปและโบยจนตาย

 

เพียงเท่านั้นยังไม่พอ เขายังนำศพของเจี้ยงเฉิงไปแขวนยังกำแพงเมือง เพื่อประจาน และให้อีแร้งกัดกินอีกต่างหาก

 

เจี้ยงเฉิงอาจจะไม่เหลือแม้แต่ซากศพด้วยซ้ำหากเหล่าขุนนางไม่ชี้แจงให้ราชาเข้าใจว่า การที่เขาประจานศพบนกำแพงเมืองเช่นนั้นมันดูโหดร้ายและป่าเถื่อนอย่างมาก มันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของอาณาจักรอย่างมาก

รีวิวผู้อ่าน