px

เรื่อง : ราชันสามภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 3 พูดไม่รู้เรื่อง เอามันให้หนัก


ตอนที่ 3 – พูดไม่รู้เรื่อง เอามันให้หนัก

 

-------------------------

ที่ดินที่รายล้อมรอบคฤหาสน์ของขุนนางนั้นต่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นบรรยากาศที่ดูแล้วสดชื่นมาก

 

ราชาตงฟางหลู่นั้น มาถึงพร้อมกับผู้ติดตามเบื้องหลัง พวกเขาพากันมาไม่มากนัก มีเพียงเจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น พวกเขาต่างเป็นขุนนางระดับสูง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น เรื่องที่องค์ราชานั้นพาบุตรสาวขี้โรคของเขามาด้วย ตงฟางจื่อยั่ว!!!

 

ต้องยอมรับเลยว่าหากมีรางวัลการแสดงยอดเยี่ยม คงต้องเอามามอบให้พวกเขาเสียแล้ว ตั้งแต่ราชายันขุนนาง พวกเขาต้องแสดงออกอย่างน่าสงสาร ราวกับว่าเจี้ยงเฉินที่นอนอยู่ในโลงนั้นเป็นบุตรของพวกเขา

 

น่าเบื่อหน่ายนัก!!

 

เจี้ยงเฟิงนั้น ไม่แสดงออกใดๆ ในขณะที่เข้าไปทักทาย ถ้าการเคารพศพคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ งั้นพวกเขาก็จะได้เคารพศพ

 

อย่างไรก็ตามเมื่อตงฟางจื่อยั่วก้าวออกมาพร้อมกับธูปหอมในมือ เธอกล่าวออกมาด้วยเสียงอันเบาหวิว "พี่ใหญ่เจี้ยงเฉิน ข้า..ขอโทษ ที่ท่านต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าข้ามันไร้ประโยชน์ แต่ไม่ต้องห่วงจื่อยั่วจะชดใช้พี่หากมีโอกาสในชาติหน้า ถ้าหากเวลานั้นมาถึง ข้าจะให้ท่านตบตีข้าได้ตามใจ ตะคอกใส่ข้าตามที่ท่านต้องการ หรือไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านอยากจะทำ ท่านพ่อจัดพิธีนั้นเพื่อข้า เพราะเหตุนั้นที่ท่านต้องตายก็เพราะข้า ข้าหวังว่าสวรรค์จะเข้าใจ และลงโทษข้าแต่เพียงผู้เดียว อย่าทำร้ายท่านพ่อของข้าหรือประชาชนในประเทศของข้าเลย...."

 

เธอกล่าวออกมาราวกับจะปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นมานาน แม้ลมหายใจของเธอจะแผ่วเบาแทบจะติดขัด

 

เธอดูจริงใจและจริงจัง คำกล่าวเหล่านี้ส่งผลให้เหล่าขุนนางที่กำลังจะระเบิดราวพายุต้องสงบลงเล็กน้อยอย่างอับอาย

 

แม้เจ้าอ้วนซวนที่เกลียดตระกูลตงฟางอย่างมาก ก็ยากนักที่จะโกรธเธอลง

 

"เจ้าหญิงจื่อยั่ว เขาตายไปแล้ว เพราะงั้นสิ่งที่ท่านกล่าวมาย่อมไร้ประโยชน์ ถ้าท่านรู้สึกผิดจริงๆ เมื่อท่านลงไปหาพี่เฉินท่านก็แต่งงานกับเขาซิ เมื่อเขามีชีวิตอยู่เขาไม่เหมาะที่จะเป็นสามีของท่าน แต่ว่าตอตาย.....เฮ้ โอ้วใช่เลย บั้นท้ายแบบนี้แหละที่พี่เฉินหลงรัก ร่างกายแบบนี้เขาต้อง....."

 

ไม่มีใครสามารถหยุดวาจาของเจ้าอ้วนซวนได้ เมื่อเขาได้พร่ามออกมาแล้ว คำพูดของไอ้อ้วนนั้นทำให้ตงฟางหลู่โกรธเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

เจ้าอ้วนบัดซบ!! นี่แกแช่งให้ลูกข้าตายไวๆ งั้นเหรอ?

 

เหล่าขุนนางทั้งหลายก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเอง พวกเขาแทบจะกลั้นอารมณ์ขันไม่อยู่เมื่อต้องมาเจอกับตัวตลกอย่างเจ้าอ้วนซวน ทำได้เพียงแอบยิ้มเท่านั้น

 

เจี้ยนเฉินนั้นนอนอยู่ในโรงอย่างเงียบๆ แต่เมื่อเขาได้ยินคำกล่าวของเจ้าอ้วนแล้วนั้น มันเริ่มที่จะทำให้สถานะการหลุดการควบคุมไปทีละนิดๆ ใครจะทนนอนเฉยๆ อยู่ได้ เมื่อมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว? เขาพุ่งตัวขึ้นนั่งพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึง "เจ้าอ้วนบัดซบ เจ้าจะให้ข้าได้ตายอย่างสงบๆ ได้มั้ย?"

 

นอกจากบิดาของเขาแล้วนั้น ทุกคนต่างนิ่งค้างกันไปหมด

 

เจ้าอ้วนรีบวิ่งมาหาเขาอย่างมีความสุขสุดๆ "พี่เจี้ยง นี่ท่าน.....นี่ท่านแกล้งทำเป็นตายงั้นเหรอ?"

 

"แกล้งกับป้าแกซิ ตายนี่โครตเหนื่อยเลย เจ้าไม่ลองดูหน่อยหละ?"

 

ใบหน้าของตงฟางหลู่ยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม แต่ขุนนางที่ตามเขามากลับตะโกนขึ้น "เจี้ยงเฉิน เจ้ากล้าเล่นละครตบตางั้นรึ นี่แกบังอาจหลอกลวงราชา แกต้องการจะก่อกบฏงั้นรึ เจ้ากับตระกูลของเจ้าต้องถูกประหารชีวิต!!"

 

ราชานั้นไม่เคยชอบพวกประจบสอพลอเท่าไหร่

 

เจี้ยงเฉินนั้นเบื่อที่จะสนใจ เขาค่อยๆ ขยับร่างกายลุกออกจากโลงศพอย่างช้าๆ ก่อนจะหันไปถามตงฟางหลู่ด้วยแววตาเยือกเย็น "องค์เหนือหัว กระหม่อมเจี้ยงเฉินนั้นโชคดีที่ไม่ตาย กระหม่อมมีเรื่องอย่างจะถามท่านซักเล็กน้อย ท่านยังจะโบยข้าจนตายอีกรอบหรือไม่ หรือว่าท่านจะลืมเลือนอุบัติเหตุที่ข้าไม่ได้ตั้งใจก่อขึ้น?"

 

ตงฟางหลู่คือราชาแห่งอาณาจักร แต่เมื่อเขาได้เห็นแววตาของเจี้ยงเฟิงที่มองมายังเขา หัวใจอันแข็งแกร่งก็ยังต้องสะดุ้ง เจ้าหนูที่ออกมาจากโลงศพนั่นช่างน่าพิศวงนัก

 

ลักษณะท่าทางเช่นนั้นของเจี้ยงเฟิงทำให้แม้แต่ตงฟางหลู่ ยังต้องตกใจ

 

"หืมมม ข้าคือราชาแห่งอาณาจักร ใยข้าต้องตอบคำถามที่เจ้าถามด้วยความหยิ่งยโสเช่นนั้น!! เจ้าจะรอดหากเจ้ามีโชคพอหละนะ"

 

ตงฟางหลู่ต้องการให้เจี้ยงเฟิงตายอย่างยิ่งยวด แต่มีเหตุผลบางอย่างที่บอกเขาว่าเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นราชาที่ดี

 

หากเขาทำมันไปหละก็ คนทั้งโลกต้องประณามเขาในฐานะราชาที่ไม่เหมาะสมแน่ นอกจากนั้นขุนนางแห่งเจี้ยงหานผู้นั้นย่อมก่อกบฏโดยไม่คิดแน่

 

"องค์เหนือหัว เจ้าหนูสกปรกนี่แกล้งตายเพื่อหลบหนีโทษประหาร ไม่มีอะไรต้องกล่าวกับมันแล้ว ข้าของร้องเรียนกับท่าน ให้ท่านได้โปรดตัดสินอย่างเป็นธรรมด้วยพะยะค่ะ"

 

เจ้าขี้ประจบนี่อีกแล้ว!!!

 

อย่างไรก็ตามขุนนางแห่งเจี้ยงหาน เจี้ยงเฟิงไม่ยอมอยู่เฉย เขาก้ามออกมาเบื้องหน้าก่อนจะตะคอกขึ้น "เจ้าหมายความว่ายังไง ขุนนางแห่งเทียนจิว? องค์เหนือหัวก็กล่าวแล้วว่า ท่านไม่เอาความ เจ้าต้องการอะไรกัน!!"

 

ดูไม่เหมือนกับภาพลักษณ์ของขุนนางทั้ง 108 คนที่แสดงออกว่ารักใคร่กันเลย

 

ขุนนางแห่งเทียนจิวและขุนนางแห่งเจี้ยงหานนั้นเป็นศัตรูกันโดยแท้

 

ขุนนางแห่งเทียนจิวหัวเราะเยียบเย็น "เจี้ยงเฟิง ดูเหมือนเจ้าจะไม่แปลกใจเลยนะที่บุตรชายของเจ้าฟื้นจากความตายหน่ะ? ข้าคิดว่าเจ้าคงสมรู้ร่วมคิดกับบุตรของเจ้าซินะ เจ้าบังอาจมากที่หลอกลวงองค์ราชา"

 

"กระหม่อมขอร้องเรียนต่อองค์ราชา ให้ทำการไต่สวนบิดาและบุตรชายตระกูลเจี้ยงให้ถีถ้วน หากที่กระหม่อมกล่าวนั้นเป็นความจริง ขอให้ท่านทรงประหารตระกูลเจี้ยงทั้งตระกูลพะยะค่ะ"

 

เจี้ยงเฉินหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเขามองเห็นบิดาของตนแทบจะระบิดโทสะ ก่อนที่จะหันกลับไปมองยังตงฟางหลู่และตงฟางจื่อยั่วด้วยแววตาสนใจ

 

เขากล่าวขึ้นอย่างสบายๆ "องค์เหนือหัว มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากหากจะประหารตระกูลเจี้ยงทั้งตระกูล แต่มันคงไม่ง่ายที่จะรักษาชีวิตขององค์หญิงไว้ ท่านจะทำเช่นไร?"

 

ตงฟางหลู่นิ่งงัน "เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร เจี้ยงเฉิน?"

 

"มิได้มิได้ เพียงแค่ ยามที่ข้าตายในวิหารแห่งนั้น ดูเหมือนข้าจะได้ยินเสียงของเทพเจ้ากระซิบที่ข้างหูของข้า เสียงนั้นได้ส่งสารมายังข้าถึงวิธีการบางอย่างเกี่ยวกับโรงร้ายขององค์หญิง เมื่อกระหม่อมคิดไคร่ครวญถึงอาการป่วยขององค์หญิง กระหม่อมจึงคิดหาทางเพื่อจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในที่สุดกระหม่อมก็หาทางกลับมาจนได้ หากองค์เหนือหัวคิดว่าข้าสมควรตาย งั้นก็สั่งให้คนเขี่ยนตีกระหม่อมจนตายอีกครั้งพะยะค่ะ"

 

เจี้ยงเฉินนั้นเป็นคนที่ฉลาด เขารู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรเพื่อชักจูงผู้คน สิ่งที่เขากล่าวไปนั้นย่อมเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของตงฟางหลู่!!!

 

ในฐานะที่เป็นถึงผู้ปกครองดินแดน ตงฟางหลู่นั้นโหดเหี้ยมและไร้หัวใจ แต่ในฐานะของบิดาแล้วนั้น ตงฟางจื่อยั่วนั้นเปรี่ยบดั่งแก้วตาดวงใจของเขา

 

เขารู้สึกสนใจทันที ที่ได้ฟังเสร็จ นี่สวรรค์ให้ความสนใจกับอาการป่วยของบุตรตรีของเขาเช่นนั้นรึ?

 

พิธีที่จัดขึ้นเพื่ออะไรกันหละ? จะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่บุตรตรีของตนเอง

 

โรคร้ายของบุตรตรีของเขานั้นไม่มียาใดรักษาได้ นอกจากเหล่าทวยเทพ!!

 

"เจี้ยงเฉิน ที่เจ้ากล่าวออกมามันหมายความว่าเช่นใดกัน!!" แม้ว่าตงฟางหลู่จะเป็นถึงราชา แต่เขากลับกลัวขึ้นมา นั่นเพราะเขาใด้ออกคำสั่งให้โบยเด็กหนุ่มผู้นี้จนตายไปแล้ว!!

 

"เจ้ากล้ากล่าวคำโป้ปดต่อหน้าองค์เหนือหัวเชียวรึ?"

 

"เอาหละ เจี้ยงเฉิน อะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ชื่อเสียงเกรียติยศ หรือแม้ว่าจะเป็นพลัง อะไรก็ตามในดินแดนตงฟางแห่งนี้จะกลายเป็นของเจ้า หากเจ้าสามารถรักษาอาการป่วยของจื่อยั่วได้"

 

ตอนนี้กลายเป็นเจี้ยงเฟิงที่กำลังกังวล เขากลัวว่าบุตรชายของเขาเสียสติไปแล้วที่ไปเล่นเกมกับองค์ราชา ถ้าหากพวกเขาพ่ายแพ้ มันคงจะสร้างปัญหาอย่างมากแน่ในอนาคต

 

"เฉนเอ๋อความรู้ทางการแพทย์ของเจ้านั้นยังทำอะไรไม่ได้ เหล่าหมอหลวงที่มีชื่อเสียงยังไม่สามารถจะรักษาได้ แล้วเจ้ากลับกล่าวออกมาอย่างสบายใจได้เช่นไร"

 

"ใจเย็นเถิดท่านพ่อ แม่ว่าบุตรของท่านจะไม่มีความรู้ทางการแพทย์มากนัก แต่ข้าเชื่อมั่นในแนวทางของเสียงสวรรค์ที่มอบมาให้ข้า มันต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน"

 

ตงฟางหลู่รีบกล่าวอย่างเร่งร้อน "ใช่ ใช่ กล่าวออกมาเลยเจี้ยงเฉินไม่ต้องกังวล แม้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาจะผิด ข้าก็จะไม่ลงโทษเจ้า แต่ถ้าหากเจ้าสามารถรักษาได้ข้าก็จะมอบรางวัลและชื่อเสียงให้เท่าที่เจ้าต้องการ"

 

ชื่อเสียง? นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเจี้ยงเฉินเลยซักนิด การที่ทะนงตนจนเกินไปมั่นย่อมนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง

 

เจี้ยงเฉินเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์นี้มากกว่าผู้ใด ยิ่งเขาแสดงความอ่อนน้อมมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งได้รับการปกป้องมากเท่านั้น ถ้าหากเขาเลือกชื่อเสียงสิ่งแรกที่จะได้รับคือ หนึ่งความเกลียดชังจากตระกูลตงฟาง สองความอิจฉาจากตระกูลขุนนางคนอื่นๆ

 

เจี้ยงเฉินกล่าวออกมาหลังจากคิดไตร่ตรองเรียบร้อย "ผู้น้อยเป็นเพียงผู้ต่ำต้อย มิอาจกล้าเรียกร้องหาชื่อเสียงอันใดหรอกพะยะค่ะ สิ่งที่ผู้น้อยอยากได้หลังจากที่ทำสำเร้จแล้วนั้น ก็เพียงแค่ให้องค์ราชาโปรดอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าเพียงเท่านั้นเองพะยะค่ะ"

 

เหล่าขุนนางที่เป็นมิตรกับเจี้ยงเฟิงต่างพากันยิ้มในใจ หลังจากได้ยินคำกล่าวของเจี้ยงเฟิง เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างเจรจานัก เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่าบิดาของเขาเสียอีก

 

อภัยโทษให้เจี้ยงเฉิน? นี่มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพียงแค่ตงฟางหลู่เอ๋ยคำเดียวเท่านั้นเอง

 

"แน่นอน ในเมื่อวันนี้เราอยู่ต่อหน้าขุนนางทั้งหลายแล้ว พวกเราจะอภัยโทษให้เจ้าตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เจ้ายังคงเป็นบุตรของขุนนางอห่งเจี้ยนหานต่อไป ทุกสิ่งของเจ้าจะยังคงเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง หากมีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องในอดีตอีก เท่ากับว่ามันผู้นั้นกำลังท้าทายอำนาจของตระกูลตงฟาง!!!"

 

วาจาของตงฟางหลู่นั้นดูใจกว้างอย่างมาก เขาไม่เพียงแค่อภัยโทษให้กับเจี้ยงเฉิน แต่เขายังห้ามทุกคนตอแยเขาอีก ช่างเป็นจิตใจที่กว้างขวางแท้จริง เท่านี้ตระกูลเจี้ยงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าในอนาคตจะมีปัญหาอะไรอีก

 

เจี้ยงเฉินยิ้มอย่างยินดีก่อนจะกล่าวคำพูดที่ทำให้ผู้คนโดยรอบต้องตกตะลึง "อันที่จริง เจ้าหญิงนั้นไม่ได้ป่วย"

 

คำกล่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนเบื้องหน้าล้วนสับสน

 

นี่เจี้ยงเฉินมันรนหาที่ตายงั้นรึ? มันกล้ากล่าวว่าองค์หญิงไม่ได้ป่วยงั้นรึ ไร้สาระ หากเธอไม่ป่วยแล้วเธอจะมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้ยังกัน!

 

ตงฟางหลู่แทบจะกระโจนเข้าไปกระทืบหน้าของเจี้ยงเฉิน แต่ด้วยฐานะที่เขาเป็นถึงราชาเขาจำต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาจำต้องให้เจ้าหนูนี่กล่าวให้จบ แม้มันจะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม

 

"ก็อย่างที่กระหม่อมกล่าว หรือท่านอยากให้เจ้าหญิงป่วยจริงๆ งั้นรึ?"

 

ขุนนางแห่งเทียนจิวอดทนไม่ไหวอีกต่อไป "เจ้าหนูเจี้ยง เจ้าบังอาจล้อเล่นกับราชางั้นรึ เจ้าอยากตายรึไงกัน!!"

 

เจี้ยงเฉินย่นจมูกเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา "องค์ราชา กระหม่อมนั้นได้กล่าวไปแล้วว่ากระหม่อมได้รับข้อความมาจากเสียงของเหล่าเทพเกี่ยวกับโรคขององค์หญิง ข้าคิดว่าอาจจะมีใครบางคนทำให้องค์เทวดาโกรธแน่ๆ หากมันยังมายุ่งวุ่นวายอยู่เช่นนี้"

 

ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น ตงฟางหลู่คิดว่าเจี้ยงเฉินนั้นพูดจาไร้สาระหาแก่นสารมิได้

 

อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะ หนึ่งคือปัญหานี้มันเกี่ยวพันกับบุตรสาวของเขา สองเจ้าหนูนี่ มันถูกเขี่ยนตีจนตายไปแล้วแน่ๆ แต่มันกลับไม่น่าเชื่อ เจ้าหนูนี่รอดตายมาได้เพราะเหล่าเทวดาช่วยงั้นรึ นั่นคือสิ่งที่เขากลัวเขากลัวว่าสถานการณ์มันจะพลิกกลับ

 

ตงฟางหลู่ทำได้เพียงแค่เชื่อมั่นตัวของเจี้ยงเฉินเท่านั้น เขากล่าวออกมาด้วยความเด็ดขาด "ขุนนางแห่งเทียนจิว ไสหัวไป!!!"

 

"องค์ราชา เจ้าหนูบัดซบนี่มันก็แค่คนหลอกลวง...." ขุนนางแห่งเทียนจิวกล่าวอย่างเร่งร้อน

 

"ไสหัวไป!!!" ตงฟางเริ่มจะโกรธขึ้นเล็กน้อย

 

ขุนนางแห่งเทียนจิวเริ่มที่ถอยกลับเข้าไปยังฝูงชนอีกครั้ง แม้เขาจะอยากทำให้ตระกูลเจี้ยงตกต่ำลงให้ถึงที่สุด แต่เขาก็ไม่มีความกล้าพอจะท้าทายความพิโรธของราชา

 

"องค์ราชา ท่านเทพเริ่มจะโกรธนิดๆ แล้ว ท่านจะไม่กล่าวอะไรจนกว่า เจ้าโง่เง่าไร้ปัญญาที่กล้ากล่าววาจาสามหาวผู้นั้นจะตบหน้าตนเองสามครั้ง แต่ว่าขุนนางแห่งเทียนจิวนั้นเป็นขุนนางที่เก่งกาจ มันคงไม่ยากเกินไปที่จะตบหน้าตนเองหรอกมั้งใช่มั้ย?"

 

"ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าองค์ราชานั้นเป็นผู้มีเกรียติและความสง่างาม ไหนเลยจะสั่งให้ขุนนางของตนเองตบหน้าตัวเอง? ดูเหมือนว่าปัญหามันจะยิ่งแย่ลงไปอีกนะ หากขุนนางแห่งเทียนจิวซื่อสัตย์ต่อองค์ราชาและอาณาจักรจริงๆ หากข้าเป็นท่าน ข้าจะไม่ลังเลที่จะตบหน้าตนเองและไม่ใช่แต่สามครั้งข้าจะตบ 30 ครั้งเลยเชียว! "

 

ขุนนางที่มาพร้อมกับตงฟางหลู่เริ่มกระซิบกันหลังจากที่เจี้ยงเฉินกล่าวจบ บางคนคิดว่าเจี้ยงเฉินจงใจให้มันเกิดแบบนี้ขึ้น แต่บางก็ก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว

 

แน่นอน พวกเขาไม่ใช่คนที่ต้องตบหน้าตนเอง พวกเขาเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น พวกเขาต่างพากันมองไปยังขุนนางแห่งเทียนจิวที่อยู่ตรงกลางกลุ่มคน

 

พวกเขาพากันขยับออกห่างเรื่อยๆ เปิดเผยให้เห็นขุนนางเทียนจิวอยู่ตรงกลาง

 

ทันใดนั้นขุนนางแห่งเทียนจิวรู้สึกราวกับโดนสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน เขารู้สึกสิ้นหวังพลางมองหาใครสักคนที่จะอยู่ข้างเขา แต่กลับไม่มีใครเลยที่อยู่ข้างเขา ราวกับว่าเขาถูกเนรเทศออกจากโลกใบนี้ไปเสียแล้ว

รีวิวผู้อ่าน