px

เรื่อง : ราชันสามภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 4 ฟาดตัวเองซะ


ตอนที่ 4 ฟาดตัวเองซะ

 

-------------------------

ขุนนางหลายคนนั้นตามขุนนางแห่งเทียนจิวมาเพราะต้องการเติมเชื้อไฟ พวกเขาต่างต้องการให้ตระกูลเจี้ยงต้องย่อยยับ

 

แต่ในขณะนี้ จะมีใครกล้ากล่าววาจาใดอีกกัน?

 

ถ้าใครกล้ายืนข้างขุนนางแห่งเทียนจิว นั่นก็หมายความว่าท้าทายพระเจ้า ถ้าพวกเขาแย้งองค์ราชานั่นก็หมายความว่า พวกเขาไม่ต้องการให้องค์หญิงหาย

 

เจ้าอ้วนซวนนั้นเข้าใจเหตุการณ์นี้ดี เขาเป็นคนที่ชอบความอยู่แล้วเพราะงั้นจะไม่เข้าร่วมได้ยังไงกัน "ขุนนางแห่งเทียนจิว ท่านกล่าวเสมอมาว่าหากท่าคือเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีและความกล้าหาญเป็นอันดับสอง ย่อมไม่มีใครกล้าเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน และตอนนี้บทพิสูจน์ได้มาถึงแล้ว แต่ท่านกลับแก้ตัวและหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำอะไรเลย มันเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?"

 

"ขุนนางแห่งเทียนจิว ก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่าอยากประหารชีวิตตระกูลเจี้ยงตั้งหลายครั้งเลยไม่ใช่เรอะ? ตอนนี้หละ ความกล้านั้นหายไปไหนหมด? นี่เจ้ากลับหดหัวหลบนี้เพียงแค่การตบหน้าของตนเองแค่สามครั้งงั้นรึ?"

 

เจี้ยงเฉินไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปได้ง่ายๆ แน่ เขามองกลับไปอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม "ดูเหมือนว่าซื่อสัตย์และกล้าหาญเป็นอันดับหนึ่งนั้นจะเป็นแค่วาจาโกหกซินะ น่าขันนัก "

 

ตามเดิมแล้วขุนนางแห่งเทียนจิวมาเพื่อหัวเราะเยาะขุนนางแห่งเจี้ยงหาน ใครจะคาดคิดหละว่ามันจะกลับตาลปัดแบบนี้ ตอนนี้เขากลายเป็นเป้าหมายการจู่โจมของทุกคนเสียแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ขุนนางแห่งเทียนจิวนั้นก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เขากล่าวออกมาอย่างนอบน้อม "ขุนนางเฒ่าผู้นี้ มิบังอาจทำให้องค์ราชาทรงลำบากพระทัย ไม่ต้องพูดถึงการตบหน้าตนเอง ต่อให้องค์ราชาต้องการชีวิตของข้า ข้าก็จะมอบให้ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ต่อดินแดนของเรา ข้าจะช่วยแบ่งเบาภาระขององค์ราชาเอง เจ้าหนูเฉินเอ๋อ การให้ข้าตบหน้าของตนเองนั้นง่ายมากถ้ามันจะช่วยองค์ราชาได้ แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเจ้ากำลังเล่นเกมอยู่กับพวกข้าหละ?"

 

ถ้าหากความจริงแล้วเจ้าหนูนี่มันล้อเล่น เขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่นหรือไร?

 

น้ำเสียงของเจี้ยงเฉินเยียบเย็นขึ้น "ขุนนางแห่งเทียนจิว!! เจ้าสบประมาทข้าได้ แต่เจ้าไม่สามารถดูหมิ่นพระเจ้าได้!!! องค์เหนือหัว คนผู้นี้ไม่ใช่แค่หนเดียว!! แต่กลับกล่าววาจาสามหาวตั้งหลายครั้ง ตอนนี้เหล่าเทพท่านทรงพิโรธแล้ว และกระหม่อมเกรงว่าจะไม่อาจช่วยเหลือเกี่ยวกับอาการประชวรขององค์หญิงได้อีก!!"

 

ตงฟางหลู่ใจหายเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ พร้อมกับอารมครุกรุ่นอยู่ภายใน

 

เจ้าขุนนางแห่งเทียนจิวบัดซบ!! แกจะแกว่งเท้าหาอะไรของแก? ถ้าแกซื่อสัตย์และรักอาณาจักรจริงๆ งั้นก็ตบหน้าตนเองสามครั้งซะ!! ทำซะอย่าให้ข้าต้องออกคำสั่ง!! ข้าไม่อยากถูกกล่าวหาว่ารังแกคนของตนเอง!!

 

ในขณะที่ตงฟางหลู่กำลังคิดอยู่นั้น สิ่งที่แสดงออกมาเพียงอย่างเดียวคือแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ขุนนางแห่งเทียนจิวนั้น เป็นคนจับสัมผัสความรู้สึกของคนได้ดี นอกจากนั้นเขายังอยู่กับราชามานาน ย่อมเข้าใจถึงการแสดงออกนี้ดี เขามั่นใจว่าองค์ราชานั้นจะลงโทษเขาโดยไม่มีการเตือนใดๆ แน่นอน เขารีบตบหน้าตนเองโดยไม่ลังเลไป 8 ครั้งทันที

 

แต่ละครั้งต่างรุนแรงและเสียงก้องกังวาน เขารู้ดีว่ายิ่งเขาตบตนเองแรงเท่าไหร่ เขายิ่งลดทอนความโกรธขององค์ราชาได้มากเท่านั้น

 

ใบหน้าของเขาเริ่มที่จะบวมขึ้นราวกับหัวหมูหลังจากการตบหน้าของตนเอง

 

เมื่อสิ้นสุดการตบหน้าตนเอง ทุกสายตากลับไปมองยังเจี้ยงเฉินอีกครั้ง

 

เจี้ยงเฉินกล่าวอย่างไม่เร่งร้อน "ไม่ใช่ว่าข้าบอกท่านสามคราหรอกรึ? แล้วที่ท่านตบไป 8 ครั้งหมายความว่ายังไงกัน? ยั้งไม่ทันงั้นรึ? หรือไม่พอใจต่อบัญชาสวรรค์? หรือว่าเจ้าไม่เคารพราชาของเจ้า? อ้อ เกือบลืมไป เจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว"

 

หลังจากที่เขากล่าวว่าไม่มีปัญหาอีกต่อไปแล้วนั้น คนที่เคยเรียกตนเองว่าเป็นเพื่อนของขุนนางแห่งเทียนจิวก็ยังไม่ขยับ ตอนนี้เขาตบหน้าตัวเองพวกเขาทำเพียงยืนมองโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่หลังจากเขาตบหน้าตนเองเสร็จก็ยังไม่มีใครขยับ

 

มันจะดีเหรอที่จะยืนอยู่ข้างเขา? ที่เขาตบหน้าตนเองคงไม่เจ็บมั้ง ใช่มั้ย?

 

หนึ่งในผู้ติดตามโพล่งขึ้นทันที "เจี้ยงเฉิน เจ้าจะยังแสดงท่าทางแบบนั้นไปถึงเมื่อไหร่? ขุนนางแห่งเทียนจิวก็ตบหน้าตนเองไปแล้ว เจ้าจะถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อผู้ร้ายอีกครั้งหากเจ้าไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้!!"

 

"ใช่ หากเจ้าไม่กล่าวอะไรสักอย่างหละก็ จะถือว่าเจ้าหลอกลวงราชา และท้าทายเหล่าขุนนางแห่งอาณาจักร ถ้าเจ้าอธิบายไม่ได้ตระกูลเจี้ยงของเจ้าจะถูกประหาร!!"

 

เหมือนลอกแบบกันมา เจ้าหมอนี่ก็อยากที่จะสังหารตระกูลของคนอื่น

 

ในทางตรงกันข้าม เจี้ยงเฉินหาวอย่างเกียจคร้าน และกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน "องค์เหนือหัว บัญชาของสวรรค์ มีปัญหาขึ้นนิดหน่อย หากผู้ติดตามเหล่านี้ยังไม่หยุดกล่าวเรื่องที่จะประหารตระกูลของคนอื่นหละก็ ข้าเกรงว่าอาจจะเป็นอันตรายหากพวกเขายังทำให้เหล่าเทพโกรธอยู่แบบนี้ หรือพวกเขาต้องการให้ตระกูลของตนเองถูกประหารเจ็ดชั่วโครต?"

 

เจี้ยงเฉินก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนที่เบื้องหน้ากลุ่มของเหล่าขุนนางก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความโกรธ

 

"พวกเจ้าต่างพากันคัดค้านอย่างมากมาย แต่กลับไม่มีใครสักคนเป็นห่วงอาการของเจ้าหญิงอย่างจริงจัง"

 

"ในสายตาของพวกเจ้า การรักษาองค์หญิงคืออะไรกัน!!!! พวกเจ้าเอาแต่จะลากเข้าการเมืองกันหมดนี่เหรอที่เรียกว่าหวังดี?"

 

"ขุนนางแห่งเทียนจิว เจ้าอยากให้ตระกูลเจี้ยงของข้าต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโครต ถ้าหากข้าไม่รอดมาจากการถูกโบยจนตาย แล้วใครจะเป็นคนนำสารจากสรรค์นี้ลงมากัน!! เจ้าเรียกตนเองว่าเป็นคนซื่อสัตย์หาสิ่งใดเปรียบ แต่เจ้ากำลังจะทำให้ชีวิตขององค์หญิงกำลังก้าวสู่ความตาย!!"

 

"เจ้าช่างวิเศษจริงๆ เยี่ยมมากๆ ไหนมีใครบ้างที่กล้าเดินออกมาข้างหน้าและอธิบายว่าอาการขององค์หญิงเกิดจากอะไร? พวกเจ้าไม่มีความสามารถที่จะทำมันได้ แต่กลับอิจฉาคนที่เขาทำได้งั้นเหรอ? และห้ามไม่ให้ข้านำสานจากสวรรค์ออกมาอธิบายงั้นเหรอ? และที่ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้รับมันมาจากการที่ข้าถูกโบยจนเกือบตาย พวกเจ้าคิดว่ามันง่ายหรือไงกัน? และหากเหล่าเทพพิโรธล้าวจากไปหละ? พวกเจ้ากล้าแบกรับสิ่งที่เกิดขึ้นรึเปล่า?"

 

"ข้ามีคำถามสุดท้ายให้พวกเจ้า หากเหล่าเทพโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วต้องการประหารตระกูลของพวกเจ้าเจ็ดชั่วโครตเพื่อชีวิตขององค์หญิงเจ้าจะทำยังไง? พวกเจ้าพูดกันนักไม่ใช่เหรอว่าซื่อสัตย์และกล้าหาญ พวกเจ้ากล้าที่จะลบตระกูลของพวกเจ้าออกไปเพื่อลดภาระที่องค์ราชาแบกรับอยู่ได้รึเปล่า!!!!"

 

เจี้ยงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความผิดหวังพร้อมกับคำถามกดดันราวกับลูกเกาทัณฑ์ราวห่าฝนพุ่งลงมาจากฟากฟ้า เขากล่าวได้ไหลลื่นอย่างมาก พวกเขาทำได้เพียงหุบปากและมองไปด้านหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

โดยเฉพาะคำถามสุดท้ายนั้น มันพุ่งเข้าสู่โสตประสาทของพวกเขา ทำให้พวกเขาเกิดความกลัวขึ้นมา

 

อันที่จริงแล้วพวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือขุนนางแห่งเทียนจิวทำลายตระกูลเจี้ยงให้สิ้น แต่ตอนนี้ สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นที่หวังเอาไว้

 

หากเจ้าหนูนี่อ้างถึงองค์การสวรรค์ทำให้องค์ราชาเชื่อว่านั่นเป็นจริง แล้วสั่งประหารตรกูลของตนเองจริงๆ หละก็.....

 

อีกอย่างราชาก็รักบุตรสาวของตนเองมาก มันมีสิทธิ์เป็นไปได้!!!

 

เมื่อเจี้ยงเฉินเห็นใบหน้าซีดเพือดและตื่นกลัวรอบๆ เขา สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาคือ

 

ใครจะคาดคิดว่าการได้ทดสอบความภัคดีของเหล่าขุนนางเฒ่าพวกนี้จะมีความสุขขนาดนี้

 

หึ พวกมันคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ เพียงเพราะมีอำนาจอยู่ในมืองั้นเหรอ?

 

"เอาหละๆ หนุ่มน้อยตระกูลเจี้ยง เจ้าได้กล่าวสิ่งที่เจ้าต้องการไปแล้ว และคนที่ผิดก็ได้รับโทษไปแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า เรื่องอาการประชวรขององค์หญิง"

 

พวกเขาคือกลุ่มคนกลุ่มที่สามที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด พวกเขาเดินออกมา และกล่าวอย่างมีเหตุผล

 

"อาการประชวรขององค์หญิง?" เจี้ยงเฉินกล่าวอย่างแปลกใจ "ใครบอกหละว่าองค์หญิงป่วย? ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่รึว่าองค์หญิงไม่ได้ป่วย?"

 

อีกแล้ว!! ตงฟางหลู่มองไปยังเจี้ยงเฉินพลางกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ เขาคร่ำครวญในใจ เจ้าหนูบัดซบ หยุดกล่าวแบบนั้นได้แล้ว!!

 

"องค์ราชา กระหม่อมมีคำถามกับท่านหนึ่งข้อ เมื่อองค์หญิงเกิดนั้นเป็นวันที่มีสุริยุปราคาใช่หรือไม่?" เขาพบว่าเจี้ยงเฉินนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อยในขณะกล่าว

 

ตงฟางหลู่มองกลับไปด้วยอาการตกตะลึง เขารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร? เขาฝันถึงเหล่าเทพจริงๆ งั้นรึ?

 

โดยทั่วไปแล้วนั้นผู้คนต่างเชื่อว่า สุริยุปราคานั้นเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดี เพราะงั้นตงฟางหลู่ถึงได้หลบเลี่ยงเรื่องนี้มาโดยตลอด

 

"ไม่ใช่แค่องค์หญิงแต่มารดาขององค์หญิงก็ย่อมต้องเกิดในวันที่มีสุริยุปราคาแน่นอน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในตัวของหญิงสาวถึง 9 รุ่นและส่งต่อไปเรื่อยๆ หยิน-หยาง จะขาดความสมดุล ร่างกายจะค่อยๆ ขาดหยางไปทีละนิดๆ และเมื่อดำเนินไปถึง 9 รุ่น ร่างกายที่มีแต่พลังหยินจะถือกำเนิดขึ้น!!"

 

เมื่อเจี้ยงเฉินกล่าวคำว่า "ร่างกายที่มีแต่พลังหยิน" เขาก็รู้สึกเศร้าใจเช่นเดียวกัน สิ่งนี้มันรบกวนชีวิตของเขามากเมื่อชาติที่แล้วตั้งหลายปี แม้แต่บิดาของเขาที่เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังรักษาได้ไม่สมบูรณ์

 

เพราะฉะนั้นเมื่อเขาพบกับเธอเขาจึงเข้าใจเธอดีว่าเจอกับอะไรมาบ้าง

 

เพราะงั้นเขาจึงหยุดแกล้งตาย เพราะว่า เมื่อเขาเห็นความจริงใจขององค์หญิงที่มีต่อตระกูลเจี้ยงของเขา

 

อย่างไรก็ตามต่อให้เขาล่วงเกินตระกูลราชา และทำให้องค์หญิงไม่ได้รับพร

 

แต่ถ้าหากเขาสามารถรักษาอาการขององค์หญิงได้ เขาก็สามารถลบล้างความผิดได้

 

แต่ใครจะคิดว่างตงฟางจื่อยั่วจะเกิดมาในร่างของหยิน ซึ่งหาได้ยากยิ่ง แทบจะหนึ่งในร้อยล้านคน และใครจะคิดว่าเมื่อเจี้ยงเฉินเกิดใหม่นั้นเขาจะได้มาเจออีก

 

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า อนาคตเป็นสิ่งที่คาดคะเนไม่ได้

 

ตงฟางจื่อยั่วไม่ได้เกิดพร้อมกันกับเจี้ยงเฉิงเมื่อชาติก่อน เพราะงั้นอนาคตของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่มีจักรพรรดิสวรรค์ และไม่มียาสุริยันจันทราเพื่อยืดชีวิตของเธอ เพราะงั้นชีวิตของเธอคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก

 

เธอพึ่งจะอายุ 13 ปี และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำชีวิตของเธอไม่น่าจะอยู่ถึงอายุ 14

 

นี่คือสาเหตุที่องค์ราชาได้จัดสร้างพิธิบูชาสวรรค์ขึ้นเพื่อรักษาอาการของเธอ

 

"ร่างกายที่มีแต่พลังหยิน?" เหล่าขุนนางต่างๆ เริ่มที่จะกระซิบกระซาบกันอย่างสงสัย เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะที่เจี้ยงเฉินกล่าวได้อย่างน่าเชื่อหละก็ พวกเขาคงประนามเจี้ยงเฉินไปแล้ว

 

ไม่นานตงฟางหลู่ก็หายจากการตกตะลึง อย่างน้อยเจี้ยงเฉินก็กล่าวถูกเกี่ยวกับเรื่องสุริยุปราคา

 

จื่อยั่วและมารดาของเธอเกิดในวันที่มีสุริยุปราคาจริงๆ!!

 

ในขณะนั้นตงฟางหลู่ได้เชื่ออย่างหมดใจ เหมือนว่าเจ้าหนูนี่จะได้รับสานจากสวรรค์จริงๆ

 

"พวกเราสามารถได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์จริงๆ งั้นเหรอ?" ตงฟางหลู่ถามอย่างตื่นเต้นท่าทางของเขานอบน้อมอย่างไม่น่าเชื่อ "งั้นเจี้ยงเฉิน มีวิธีรักษาร่างที่เต็มไปด้วยหยินรึเปล่า?"

 

"จริงๆ แล้วร่างกายที่มีแต่พลังหยินไม่ใช่การป่วย แค่ไร้กำลังเท่านั้น หากว่าองค์หญิงไม่ฝึกพลังเต๋าหรือว่าพลังปราณเลย เธอก็สามมารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 30-40 ปีได้อย่างไม่มีปัญหา การบังคับให้เธอฝึกนั้นคือสิ่งที่ผิดพลาด เพราะงั้นเธอจึงมีพลังปราณอยู่แค่กลางๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ถ้าไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอก องค์หญิงก็อาจจะมีอายุอยู่ได้ไม่ถึง 16 ปี"

 

การวินิจฉัยครั้งนี้มันเหมือนกับที่หมอหลวงคนอื่นๆ เคยกล่าว

 

หลังจากได้ยินดังนั้น คนอื่นๆ ต่างรู้สึกปละหลาดใจ นี่เจี้ยงเนได้รับสารจากสวรรค์จริงๆ ซินะ ทำไมเขาถึงกล่าวได้อย่างเจาะจงแบบนั้นกัน?

 

ตงฟางหลู่กล่าวอย่างเร่งรีบ "สิ่งรบกวนจากภายนอก? นั่นหมายความว่ายังมีวิธีรักษาอยู่งั้นเหรอ?"

 

"มันไม่ใช่อาการป่วย ดังนั้นธรรมชาติก็คือวิธีที่ดีที่สุด ขั้นแรกหยุดฝึกพลังเต๋า และห้ามกินยาต่างๆ ที่เพิ่มพลังภายใน ไม่งั้น ต่อให้มีสวรรค์ช่วยเธอก็ไม่อาจจะอยู่เกินครึ่งปีนี้"

 

คำกล่าวเหล่านี้ทำให้หัวใจของตงฟางหลู่ต้องเต้นแรงขึ้น เขาคิดมาตลอดว่าร่างกายของจือยั่วนั้นอ่อนแอ เพราะฉะนั้นจึงให้เธอฝึกฝน แม้ว่าเธอจะไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยเธอก็จะมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น

 

แต่ใครจะคาดคิด ว่านั่นจะกลายเป็นดั่งเพลิงแผดเผาร่างกายของเธอ และยาวิเศษเหล่านั้นกลายเป็นยาพิษที่รุนแรง

 

"พวกเราต้องทำเช่นไรต่อ?" ตอนนี้นั้นตงฟางหลู่นอบน้อมลงไปมาก ราวกับนักศึกษากำลังถามอย่างอยากรู้

 

"ข้ออภัย เจ้าหญิงนั้นไม่สามารถฝึกได้ตลอดชีวิต ร่างกายที่มีแต่พลังหยินนั้น อายุไม่ยืนยาว สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือยืนอายุของเธอ การรักษานี้ใช้เวลานานมาก ถ้าหากว่าองค์ราชาเชื่อถือข้า ได้โปรดปล่อยให้ข้าเป็นคนดูแลชีวิตขององค์หญิงเอง ถ้าหากว่าท่านไม่เชื่อข้า งั้นก็ให้คนมาลากข้าออกไปเลย....."

 

"อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าหนุ่มเจี้ยง ข้าได้รับการชี้แนะแล้วหลังจากได้พูดคุยกับเจ้า ปัญหาของจื่อยั่วนั้นข้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไรข้าจะอนุญาตให้ และจะให้เหรียญสลักมังกรแก่เจ้าด้วย เจ้าสามารถเข้าออกได้ด้วยเหรียญนี้ตลอดเวลา และไม่ต้องคำนับคนจากราชวงค์ก็ได้"

 

ตงฟางหลู่นั้นเป็นดั่งกฎของอาณาจักรนี้ และนอกจากนี้เขายังเป็นคนฉลาดและใจกว้างมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยสั่งประหารเจี้ยงเฉิน แต่มาตอนนี้เขามอบเหรียญสลักมังกรให้ และนอกจากนี้ยังไม่ต้องเคารพใครก็ตามอีก

 

ตอนนี้ขุนนางแห่งเทียนจิวนั้นเป็นดั่งหมาหัวเน่า แม้ว่าราชาจะไม่ได้มีเจตนาทำให้เขาเสียหน้า แต่การให้รางวัลแก่เจี้ยงเฉินเช่นนั้น มันยิ่งกว่าการตบหน้าตนเองไปหลายเท่านัก

รีวิวผู้อ่าน