ตอนที่ 14 - การตบหน้าครั้งที่สอง!
-------------------------
แก้ไขคำ - เปลี่ยนจาก หินเป็นศิลาเพื่อคำที่ฟังแล้วลื่นหูขึ้น : )
ทายาทของขุนนางพยัคฆ์ขาว ไป้ชานอวิ๋นและทายาทของขุนนางหงส์เพลิง หงเทียนทงซุบซิบอะไรบางอย่างกันในโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบในเมืองหลวง
พี่ขาว เจ้าเด็กนั่นช่างอวดดีเสียจริง เขาไม่เห็นท่านหรือข้าอยู่ในสายตาเลย โยเฉพาะเรื่องในตอนนั้นเลยพี่ขาว ท่านและข้ามาถึงเกือบจะพร้อม ๆ กัน แต่เขากับขโมยสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงไปจากท่าน เรื่องนี้ข้าไม่สามารถยอมรับได้!
หงเทียนทงนั้นเห็นได้ชัดเลยว่ามีฝีปากที่จัดมากและเก่งในการหลอกล่อผู้อื่น
เหอะ! เจี้ยงเฉิน กล้าต่อต้านข้า ไป้ชานอวิ๋น หาเรื่องตาย!
หลังจากที่ไป้ชานอวิ๋น สมุนของเขาได้รีบวิ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
นายน้อย เจ้าเด็กนั่นไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์เจี้ยงหาน ดูเหมือนว่าเขาจะไปที่หอนภาฟ้าคราม
หอนภาฟ้าคราม เจ้าเด็กนั่นมันไปทำอะไรที่นั่นกัน? หรือว่าเขาอยากจะซื้อศิลาจิตวิญญาณ? หงเทียนทงกล่าวอย่างสงสัย
ไป้ชานอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างหลังจากได้ยินคำกล่าวของหงเทียนทงก็ได้เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดขึ้น หอนภาฟ้าครามงั้นรึ? เจ้าแน่ใจนะ?
ข้ารับใช้ของท่านติดตามมันอย่างใกล้ชิดแน่นอนว่าไม่มีทางผิดเป็นแน่ขอรับ
ไป้ชานอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เจี้ยงเฉิน เจ้าโง่เอ๊ย ครั้งนี้เจ้าทำตัวเองนะ ผู้ดูแลของหอนภาฟ้าครามก็คือลุงของข้า!
เขายิ่งภาคภูมิใจมากขึ้นเมื่อเขากล่าวจบลง น้องชายหง มา ๆ มาดูละครของเจ้าเด็กนี่กันดีกว่า บางทีเราอาจได้กระทั่งสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงก็ได้ถ้าเราไปถึงที่นั่น!
จุดที่พวกเขาอยูนั้นไปไม่ไกลจากหอนภาฟ้าคราเสียเท่าไหร่ พวกเขาทั้งสองจึงรีบเดินทางไปที่นั่นและเข้าไปทางประตูหลัง
หอนภาฟ้าครามนั้นค้าขายของจำพวกเกี่ยวกับศิลาจิตวิญญาณและศิลาที่แปลกประหลาด การค้าขายของที่นี่นั้นครอบคลุมแทบทั่วทั้งเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะเหตุนี้ที่แห่งนี้จึงเป็นร้านค้าชั้นนำในเมืองหลวงเลยทีเดียว
เจี้ยงเฉินนั้นไม่ได้เข้ามาชมศิลาแปลกประหลาดหรืออะไรทั้งสิ้น แต่มาเพื่อศิลาปรับแต่งเท่านั้น
เขาได้เดินดูรอบๆหอเป็นเวลากว่าครึ่งวัน เขาใช้ประสบการณ์ของทั้งสองภพสองชาติประกอบกับการตัดสินใจเลือกซื้อศิลาชนิดต่างๆ ในที่สุดเขาก็ตัดสินในได้และได้เดินไปจ่ายเงิน
ผู้ดูแลของหอนภาฟ้าครามรีบเดินออกมาเมื่อเห็นเจี้ยงเฉินยืนรอที่จะจ่ายเงิน เขายิ้มขึ้น น้องชาย ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญอะไรอย่างนี้ ข้าพึ่งได้รู้มาว่าศิลาหยางหมอบที่ท่านได้เลือกไว้ได้ถูกใครบางคนซื้อไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ขอรับ
ใครกันที่ซื้อมันไป? นี่มันเรื่องบังเอิญบ้าบออะไรกัน! เจี้ยงเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่เรื่องบังเอิญบัดซบแบบนี้ก็มีในโลกด้วยงันรึ?
ข้าเองที่เป็นคนซื้อมันไป! ปรากฎเสียงที่เจาะเข้ามาในแก้วหูของเขาเป็นไป้ชานอวิ๋นที่เดินทอดน่องเข้ามานั่นเอง
เจี้ยงเฉิน ช่างโชคร้ายซะจริง ๆ เลย พอดีว่าข้าพึ่งซื้อศิลาหยางชิ้นนี้ไปเอง เจ้าอยากได้งั้นเหรอ? มอบสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงมาสิ บางทีถ้าข้าอารมณ์ดีข้าอาจให้ศิลานี่แก่เจ้าก็ได้
เจี้ยงเฉินคาดเดาทุก ๆ อย่างได้ในทันที หลังจากที่เขาเห็นไป้ชานอวิ๋นกับหงเทียนทงที่กำลังทำหน้าเยาะเย้ยเขาอยู่และผู้ดูแลหอนภาฟ้าครามเดินตามมาด้วย เขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ทั้งหมดแล้ว
เจ้าบ้าไป้ชานอวิ๋นนี่ดูท่าว่าจะสมองกลวงจริง ๆ เสียด้วย ไม่เพียงต่อล้อต่อเถียงกับเขาที่หอโอสถแต่ยังตามมาจนถึงที่หอนภาฟ้าครามนี่ สงสัยว่าเขาอยากจะสู้กับเจี้ยงเฉินกระมัง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ดูแลหอนภาฟ้าครามที่ยอมทำตามคำสั่งจากลูกของขุนนางอย่างยินดี ทำให้ความรู้สึกของเจี้ยงเฉินที่มีต่อชายผู้นี้ต่ำลงไปมาก
น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ หัวหน้าซง ท่านแน่ใจแล้วสินะว่าจะไม่ขายศิลานั่นให้แก่ข้า? เจี้ยงเฉินถามอย่างสงบ
ไป้ชานอวิ๋นกล่าวขึ้น เจี้ยงเฉิน ข้าได้บอกเจ้าไปแล้วว่าข้าจะให้ศิลานี่ก็ต่อเมื่อเจ้ามอบสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงมา ไม่อย่างนั้น อย่างคิดว่าเจ้าจะได้ศิลาหยางหมอบไป
โอ้? ถ้าอย่างนั้นข้าต้องให้มันแก่เจ้า? เจี้ยงเฉินยิ้มเล็กน้อย
ฮ่า ๆ ๆ นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้า ไปชานอวิ๋นผู้ยิ่งใหญ่จะให้ศิลานี่แก่เจ้าจริง ๆ? ข้ายอมซื้อมันไปประดับห้องน้ำของข้าดีกว่าให้มันกับเจ้าเสียอีก
ห้องน้ำของเจ้าดูท่าว่าจะงดงามน่าดูนะ ถ้าอย่างนั้นไม่มีที่ว่าสำหรับการต่อรองแล้วหรือ?
ต่อรองบ้านเจ้าสิ! ส่งสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงมาซะแล้วจะไปไหนก็ไป! ไป้ชานอวิ๋นยังรู้สึกว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปที่จะทำให้เจี้ยงเฉินมอบสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงให้แก่เขา
เจี้ยงเฉินหัวเราะอย่างไม่สนใจใครและเมินไป้ชานอวิ๋นไป เขาไม่สมควรที่จะมาเสียเวลากับคนโง่เง่าอย่างไป้ชานอวิ๋นเอาเสียเลย อีกอย่างศิลานั้นเขาก็ไม่ได้ซื้อมันให้กับตัวเองด้วย
เขากำลังซื้อส่วนผสมต่าง ๆ เพื่อรักษาองค์หญิง เขาไม่ควรจะเสียเวลาไปกับการอธิบายไปมากกว่านี้ แต่ถ้าเจ้าโง่เง่าไป้ชานอวิ๋นอยากจะต่อกรกับราชวงศ์ล่ะก็ ปล่อยให้เขาทำละกัน
หัวหน้าซง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ฉลาดพอถึงทำการค้าโง่เง่าแบบนี้สินะ เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาเบา ๆ หลังจากนั้นจึงถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา
ถ้าเจ้าไม่ขายให้แก่ข้าในตอนนี้ ถึงเจ้าจะมาคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าข้าในอนาคตก็อาจจะสายเกินไปนะ
เขากล่าวออกมาโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองไป้ชานอวิ๋นหรือหงเทียนทงเลย
ใครบางคนพึ่งมาถึงที่นี่และเมื่อเขาได้มาถึงเขาได้แสดงความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากเขาเข้าไปกระซิบข้างหูของหัวหน้าซงเพียงไม่กี่ประโยค ในขณะที่ใบหน้าของหัวหน้าซงซีดเป็นไก่ต้ม เขาไม่แม้แต่จะกล้ามองตาของเจี้ยงเฉินในตอนนี้
ใบหน้าของหัวหน้าซงซีดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเขาฟังจบ ทั่วทั้งร่างของเขาราวกับถูกสูบเลือดออกไปทั้งหมด ใบหน้าของเขาในตอนนี้ซีดเป็นอย่างมากและเม้มริมฝีปากของเขาอย่างขมขื่น
เขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราวกับอ้อนวอนอย่างถึงที่สุดว่า นายน้อยเจี้ยง ได้โปรดรอก่อนเถอะ ได้โปรดนายน้อยรอก่อน! ศิลาหยางมอบนี่เป็นของท่าน หอนภาฟ้าครามจะไม่คิดเงินท่านแม้แต่นิดเดียวและจะส่งให้ถึงคฤหาสน์ท่านเลยขอรับ
ทัศนคติของหัวหน้าซงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในพริบตา การกระทำครั้งนี้ส่งผลให้ไป้ชานอวิ๋นและหงเทียนทงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไป้ชานอวิ๋น ร่างกายของเขาสั่นด้วยความประหลาดใจ
ท่านลุง นี่ท่านพูดจริงงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันแล้วหรืออย่างไร?
หัวหน้าซงกล่าวอย่างเศร้าศร้อย ข้าขอเพียงครั้งนี้เท่านั้นนายน้อย ได้โปรดอย่างทำให้เรื่องมันยากขึ้นสำหรับลุงของท่านเลย อย่าลากข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของท่านกับผู้ยิ่งใหญ่เถอะ
ใบหน้าของไป้ชานอวิ๋นเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นเรอะ? เจี้ยงเฉินมันเป็นผู้ยิ่งใหญ่บ้าบอนั่นซะที่ไหนกันเล่า? ฝั่งขุนนางเจี้ยงหานของมันไม่แม้แต่จะอยู่ในอันดับทั้งร้อยแปดของขุนนางตะวันออกเลย นี่ท่านกลัวเขางั้นเหรอ ท่านลุง?
นี่ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ถูกท้าทายโดยเจ้าโง่ไป้ชานอวิ๋นล่ะก็ หัวหน้าซงคงจะรีบจัดการกับปากเน่า ๆ ของหลานชายของเขาอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว เขาจะจัดการไป้ชานอวิ๋นอย่างหนักจนกลับมาเป็นปกติไม่ได้เลย และยังต้องจัดการสั่งสอนเขาอย่างหนักหน่วงอีกด้วย
เจ้าเด็กบ้านี่ไม่เพียงสร้างความลำบากให้กับตระกูลของเขา แต่ยังลากหัวหน้าซงไปกับเขาอีกด้วย!
หัวหน้าซงในตอนนี้แทบจะก้มกราบอ้อนวอนแทบเท้าของเจี้ยงเฉิน นายน้อย ข้ามันโง่เขลาและมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดเถิด ได้โปรดยอมรับมันไว้เถอะขอรับ! ข้าขอมอบศิลาหยางหมอบนี่แทนสินน้ำใจจากข้าขอรับ!
พวกเขากล่าวให้ขอให้อภัยและขอให้ลืมมัน เจี้ยงเฉินไม่ได้มีความคิดที่จะทำให้การค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขาเลย
เขายิ้มตอบกลับไป หัวหน้าซง คำกล่าวของท่านข้าไม่รับไว้ก็เกรงว่าจะเสียมารยาท เนื่องจากท่านมีความจริงใจต่อข้า ข้าก็คงต้องขอรับศิลาหยางหมอบนี้ไปด้วยความเต็มใจ ส่วนเรื่องราคานั้น ไม่ว่ายังไงข้าก็คงจะต้องจ่าย ส่งศิลานั่นไปตามที่อยู่พรุ่งนี้เช้า เดี๋ยวไว้ข้าจะให้เมื่อถึงเวลา
ใช่แล้ว ใช่แล้ว นายน้อยช่างเฉลียวฉลาดและมีน้ำใจ ข้าละอายใจยิ่งนัก
เจี้ยงเฉินหัวเราะขึ้นมา ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่ามีบุคคลนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ทำให้ใบหน้าของหัวหน้าซงเปลี่ยนไปขนาดนั้น?
สำหรับบุคคลที่เข้ามาแทรกแซง เขาย่อมรู้แล้วว่าเป็นใคร
จะมีซักกี่ตระกูลที่กล้าท้าทายเรื่องแบบนี้กันล่ะ? และในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่ทางราชวงศ์ที่เข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของเจี้ยงเฉินแล้วจะเป็นใครล่ะ?
ดูเหมือนว่าเจ้าแก่ลู่นั่นจะกำลังทำอะไรบางอย่าง กลัวว่าข้าจะแปรพักตร์รึไงกัน? เจี้ยงเฉินส่ายหัวไปมาในความคิดของเขา
ตอนนี้เขาได้ส่วนผสมทั้งหมดที่ต้องการมาแล้ว
ไป้ชานอวิ๋นถูกเมินอย่างสิ้นเชิงโดยเจี้ยงเฉินและรู้สึกว่าตนนั้นพ่ายแพ้ เขาจ้องมองไปที่หัวหน้าซงอย่างรวดเร็ว ท่านลุง ท่านจะต้องอธิบายเรื่องนี้ให้แก่ข้าด้วย!
หัวหน้าซงหรี่ตาของเขาลง ไป้ชานอวิ๋น เจ้าสำนึกตัวเจ้าเองซะบ้าง! ที่นี่มันเมืองหลวง ไม่ใช่ดินแดนขุนนางพยัคฆ์ขาวของเจ้า! คิดซะบ้างที่จะไปก่อกวนใครเขา สำหรับข้าที่เป็นลุงของเจ้า ข้าจะให้คำแนะนำแก่เจ้าซะบ้าง ถ้าเจ้าเดินพลาดไปก้าวเดียวก็อาจก่อความวุ่นวายให้แก่ตระกูลของเจ้าได้ภายในชั่วข้ามคืนก็ได้!
หัวหน้าซงนั้นไม่ได้เป็นพวกกระต่ายตื่นตูม เพื่อนร่วมงานของเขาได้เข้ามากระซิบเพียงสองประโยคเมื่อสักครู่นี้
ประโยคแรกกล่าวว่า ผู้บัญชาการเทียนดูแห่งหน่วยทหารรักษาพระองค์อยู่ข้างนอก และประโยคที่สองกล่าวว่า พวกเราต้องขายศิลาหยางหมอบให้แก่เจี้ยงเฉิน ถ้าไม่อย่างนั้นก็เตรียมเผชิญหน้ากับผลที่ตามมา
เพียงสองประโยคนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวหน้าซงต้องเปลี่ยนความคิดทันที
ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าหน่วยทหารรักษาพระองค์เป็นทหารของกษัตริย์ มีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีเยี่ยม และสามารถตัดสินความเป็นความตายในอาณาจักรตะวันออกแห่งนี้อีกด้วย?
เป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงเลยว่าถ้าเกิดหน่วยทหารรักษาพระองค์โจมตีใครสักคน แม้กระทั่งขุนนางพยัคฆ์ขาวก็คงจะเหลือเพียงเถ้าธุลี ไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าซง!
หน่วยทหารรักษาพระองค์เป็นหนึ่งในขุมพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักร นี่มันหมายความว่าอย่างไรที่ขุมกำลังนี้กำลังปกป้องเจี้ยงเฉินกัน?
หัวหน้าซงไม่ใช่คนโง่ เขาสามารถที่จะรู้และแยกแยะสถานการณ์ในตอนนี้ได้
มันเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถที่จะอธิบายต่อหน้าไป้ชานอวิ๋นได้ เขาจึงต้องเตือนไปด้วยฐานะที่เป็นญาติกัน
ถ้าเกิดว่าไป้ชานอวิ๋นยังคงทำตัวเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟต่อไปเช่นนี้ หัวหน้าซงก็คงจะต้องสร้างเส้นแบ่งระหว่างตระกูลพยัคฆ์ขาวกับเขาตั้งแต่ตอนนี้ไป
ไป้ชานอวิ๋นยังคงสาปแช่งและโวยวายกล่าวหาว่าหัวหน้าซงไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์กันเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หงเทียนทงกำลังใช้ความคิดของเขาอยู่
เขาคิดว่าเรื่องราวในขณะนี้มันแปลกเกินไป เรื่องแบบนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่กลับเกิดถึงสองครั้ง!
หรือจะเป็นไปได้ว่าเจ้าเจี้ยงเฉินจะมีคนคอยหนุนหลังมันอยู่?
สำหรับเจี้ยงเฉินแล้ว เขาไม่ได้เดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกเมื่อเขาทำธุระเสร็จแล้ว แต่กลับตรงไปที่คฤหาสน์เจี้ยงหาน
มีคนสองคนเดินออกมาจากประตูทางเข้า คนแรกคือเจี้ยงเฟิง ขุนนางแห่งเจี้ยงหานและเป็นพ่อของเขา
ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าที่น่ากลัวและมืดมน เขาให้ความรู้สึกที่เย็นชา เขาเดินตรงมาที่ทางออก ขุนนางแห่งเจี้ยงหานก็เดินตามเขามาด้วยรอยยิ้ม
และแสดงท่าทางประจบประแจงและพึมพำอะไรบางอย่าง
ลักษณะของเขาดูอ่อนน้อมถ่อมตนเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าเจี้ยงเฟิงในตอนนี้จะดูเป็นอย่างไร เขาในตอนนี้ราวกับกำลังฝืนทนอยู่และชายวัยกลางคนที่มีท่าทางไม่เป็นมิตร
เมื่อพวกเขามาถึงตรงประตู พวกเขารีบวิ่งไปหาเจี้ยงเฉินทันที
เจี้ยงเฉินเริ่มจำชายคนนี้ได้จากความทรงจำของเขาบ้างแล้ว ผู้ช่วยผู้จัดการดู?
ชายคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในผู้จัดการหลักของการทดสอบมังกรซ่อน
เฉินเอ๋อ เจ้ากลับมาแล้วหรือ? มานี่มาทักทายผู้จัดการดูสิ ในที่สุดข้าก็เชิญเขามาที่คฤหาสน์เราได้แต่น่าเสียดายที่นายท่านดูต้องไปทำธุระที่อื่นอีก
ผู้ช่วยผู้จัดการดูเหลือบมองเจี้ยงเฉินและยิ้มที่ไม่คล้ายยิ้ม เจ้าคือเจี้ยงเฉิน?
สำหรับหนึ่งในผู้จัดการหลักของการทดสอบมังกรซ่อนแล้วนั้น เขาย่อมรู้ดีว่าใครคือเจี้ยงเฉิน ฉะนั้นคำถามนี้ย่อมเป็นการหลอกลวงอย่างหนึ่ง
เจี้ยงเฉินเป็นคนฉลาดและช่างสังเกต เขากลัวว่าพ่อของเขาจะเสียหน้าถ้าเกิดตอบอะไรบางอย่างที่ไม่ควรไปจึงตอบไปอย่างธรรมดา นั่นคือข้า ท่านคือผู้ช่วยผู้จัดการดูงั้นหรือ?
ดูหลู่ไห่ ผู้ช่วยผู้จัดการทดสอบมังกรซ่อน เป็นอันดับสองถ้าเทียบกับพลังที่แท้จริง เป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลยว่าเขาเป็นคนที่จัดการกับตระกูลทั้งหลายในการเข้าร่วมการทดสอบนี้
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางขั้นไหน เมื่อเป็นเวลาที่เขาพบเจอกับดูหลู่ไห่จะสุภาพและประจบประแจงเขา? ใครบ้างที่จะไม่ถ่อมตัว?
ถ้าเกิดว่าเจ้าไปทำให้เขาแค้นเคืองในเวลาสำคัญ เจ้าอาจไม่รู้ตัวเลยเสียด้วยซ้ำว่าเจ้าตายได้อย่างไร
ดังนั้นเจี้ยงเฉินไม่เพียงไม่ประจบประแจง แต่ความจริงแล้วเขากลับตอบกลับไปด้วยโทนเสียงเรียบต่อผู้จัดการดูอย่างรวดเร็ว
มันไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าดูหลู่ไห่ไม่มีความละเอียดอ่อน แต่เสมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องหลอกลวงว่าเป็นคนจิตใจดีและมีเมตตาเมื่ออยู่หน้าบ้านตระกูลเจี้ยง
เขาแสดงออกอย่างแข็งกร้าว ขุนนางเจี้ยงหาน? ลูกชายท่านนี่น่าสนใจดีนะ เขากล้าที่จะลบหลู่พิธีบวงสรวงสวรรค์ ไม่น่าแปลกที่เขาจะไม่สนใจกระทั่งผู้จัดการ
เจี้ยงเฟิงที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้และรีบกล่าวขออภัย
ดูหลู่ไห่วางมือของเขาลงและหัวเราะอย่างเย็นชา ขุนนางเจี้ยงหาน คำกล่าวอ้างนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวหรอก ข้าวางแผนที่จะช่วยเหลือลูกชายเจ้าในการทดสอบมังกรซ่อน แต่ข้าพึ่งได้รับข้อความจากขุนนางคนอื่น ๆ ว่าลูกชายของเจ้านั้นไม่มีศีลธรรมหรือจริยธรรมเลย การช่วยเหลือเขาก็เหมือนกับจะทำให้ภาพลักษณ์ของข้าดูย่ำแย่ ดังนั้นเจ้าก็คงจะต้องพึ่งตัวของเจ้าเองในการทดสอบ!
ผู้จัดการดู เรื่องนี้.... เจี้ยงเฟิงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
ขุนนางเจี้ยงหาน อย่าว่าข้าเลยที่พูดอย่างนี้ ถึงแม้จะไม่มีการเตือนจากขุนนางทั้งหลาย ปกติแล้วลูกชายเจ้าก็มันจะเป็นพวกไม่มีอะไรดีอยู่แล้ว เจ้าควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำที่ข้าไม่ได้ทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบาก!
ดูหลู่ไห่ตัดสินใจที่จะกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด