ตอนที่ 15 - การทดสอบพื้นฐานทั้งสาม
-------------------------
หลังจากที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ดูหลู่ไห่ก็ไม่สามารถที่จะปกปิดความประสงค์ร้ายของเขาไว้ได้อีกต่อไป ด้วยฐานะของเขาในอาณาจักรแห่งนี้
เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวขุนนางคนไหนที่กำลังจะสูญเสียอำนาจและอิทธิพลไป
เจี้ยงเฟิงที่เดิมทีอยากที่จะอ้อนวอนขอให้ลืมเรื่องก่อนหน้าไป แต่ใบหน้าของเขาดำมืดลงทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนั้น
ผู้จัดการดู เจ้าจะดูถูกหรือว่ากล่าวอะไรข้าก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับลูกชายของข้า! หมายความว่าอย่างไรที่เขาไม่มีอะไรดี? เจ้าแน่ใจงั้นหรือว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองในอนาคต? ถ้าจะว่ากล่าวอะไรก็ลงมาที่คนแก่อย่างข้าอย่ายุ่งกับคนหนุ่มเช่นเขา!
นี่เจ้าพยายามจะกล่าวอะไรอีก! เจ้าพยายามจะสั่งสอนข้าว่าอะไรดีอะไรชั่วงั้นรึ? ไม่ให้ดูถูกเด็กหนุ่มที่น่าสงสาร? ฮ่าฮ่าฮ่า.... ดูหลู่ไห่หัวเราะจนตัวโยน ใช้สมองอันน้อยนิดของเจ้าคิดซะบ้าง!
ถ้าเจ้าเด็กบัดซบนั่นไม่ได้โชคดีแล้วล่ะก็ เจี้ยงเฟิง เจ้าก็คงจะต้องจัดงานศพให้ลูกชายเจ้าและคงไม่ต้องมาประจบประแจงข้าคนนี้ด้วย!
เขาเหวี่ยงแขนของเขาไปมาอย่างถือดีและเดินออกไปข้างนอกอย่างภาคภูมิใจ
รอก่อน! เป็นเจี้ยงเฉินที่ยืนอยู่ข้างพ่อของเขาได้กล่าวขึ้นมา ดูหลู่ไห่ใช่หรือไม่? ถ้าข้าจำได้ถูกต้องล่ะก็ พ่อของข้าได้ให้เงินแก่เจ้าไปเป็นจำนวน 600,000 เหรียญเงินเพื่อข้า เจ้าไม่สนใจเรื่องของข้านั้นไม่เป็นไร แต่เจ้าจะแกล้งทำเป็นลืมเรื่องเงินอย่างงั้นรึ?
ร่างของดูหลู่ไห่หยุดชะงักและมีประกายแสงออกมาจากดวงตาของเขา เขาจ้องมองไปที่เจี้ยงเฉิน เขาจ้องมองราวกับจะกลืนกินเจี้ยงเฉินให้ได้ด้วยการจ้องมองของเขา
แต่ที่เขาไม่ได้คาดคิดไว้ก็คือเมื่อเขาจ้องมองไปที่เจี้ยงเฉินด้วยความคิดประสงค์ร้าย แล้วเจี้ยงเฉินก็จ้องตอบกลับมาด้วยสายตาที่สงบนิ่งไร้ซึ่งความกังวล ทำให้ทั้งร่างของเขาสั่นทั่วทั้งร่าง ราวกับว่าเขานั้นตกลงไปในนรกที่เย็นยะเยือก
บ้าอะไรกันเนี่ย? เจ้าเด็กนี่.....
ดูหลู่ไห่ทำให้ตัวเองใจเย็นลงและบอกกับตัวเองว่าตาคงฝาดไป
600,000 เหรียญเงิน? ไปหามันเอาในคลังสมบัติหลักไป! การติดสินบนนี้มีความผิดร้ายแรงอีกอย่างหนึ่ง นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนคดโกงอย่างนั้นรึ? ข้ามีเงินมากกว่าที่ทางเจ้าเสนอให้ไปไว้ในคลังสมบัติหลักซะอีก!
แน่นอนว่าเจี้ยงเฉินไม่มีทางเชื่อเรื่องดังกล่าวได้ ใครบางคนอาจถ่มน้ำลายใส่ชิ้นเนื้อเพื่อที่จะทำให้เขาได้กินมัน ? (คล้ายๆกับเพื่อนจะมาแย่งกินข้าวเราแล้วเราถุยน้ำลายใส่ข้าวทำให้เพื่อนไม่กล้ากินอะแล้วเราเลยได้กิน เปรียบได้แจ่มว้าว5555)
ดูหลู่ไห่คนนี้ดูท่าว่าจะไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์และมีคุณธรรมเลย
รู้สึกเหมือนว่าหลงยู่ซือและทายาทขุนนางคนอื่น ๆ จะค่อย ๆ เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อคอยต่อกรกับเขาแล้วเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ส่งมอบสมุนไพรไขกระดูกมังกรจรัสแสงนั่นเอง!
และถ้าเกิดว่าเจี้ยงเฉินไปสร้างความแค้นเคืองให้กับลูกขุนนางทั้งหลายและหลงยู่ซือ อีกทั้งยังกระทำเช่นเดียวกันกับผู้จัดการทดสอบมังกรซ่อนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จะทำให้เขาต้องโดนก่อกวนในการทดสอบแน่ ๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจี้ยงเฉินจำเป็นจะต้องเกรงกลัวอะไรอีก? พวกคนเหล่านี้ร่วมก่อกวนเขาด้วยกันก็ไม่ต่างไปจากแมลงวันที่น่ารำคาญหลาย ๆ ตัวในสายตาของเขาก็เท่านั้นเอง
ขอเวลาเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถที่จะทุบตีพวกเขาให้ตายได้หลายครั้งเลย
รอยยิ้มที่แสนจะเย็นชาแต่แฝงไปด้วยปริศนาปรากฏขึ้นบนปากของเขา เขามองไปที่ดูหลู่ไห่และเร่งเสียงของเขาขึ้น ดูหลู่ไห่ การแสวงหาผลกำไรและหลีกเลี่ยงการขาดทุนเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว การที่จะเกรงกลัวขุนนางไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การที่รังแกคนดีและเกรงกลัวคนชั่ว อีกทั้งยังดูถูกตระกูลเจี้ยงของข้า เจ้าควรจะรู้นะว่าผลที่ตามมาของความผิดพลาดมันเป็นอย่างไรก่อนที่มันจะสายเกินไป
ถ้าดูหลู่ไห่นั้นปฏิเสธเจี้ยงเฟิงอย่างสุภาพและให้เกียรติโดยไม่ทำให้เสียหน้านั้นแล้วเจี้ยงเฉินก็สามารถที่จะยอมรับได้
แต่ดูหลู่ไห่ได้รับเงินไปแล้วและในตอนนี้เขากลับผิดสัญญาของเขา ดีมาก ผิดสัญญาแล้วยังไม่ยอมคืนเงินมาอีก
ถ้าเจ้าอยากที่จะเก็บเงินก้อนนั้นเอาไว้ อย่างน้อยช่วยทำให้มันดูดีกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร?
ใช้วิธีกดขี่ทางฐานะและทำตัวอวดดี? นี่เขาได้ตัดสินไปแล้วว่าไม่ว่ายังไงตระกูลเจี้ยงก็จะกลายเป็นเพียงขี้เถ้าในหลุมศพและดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉาในวันรุ่งขึ้น ? (เปรียบเหมือนแบบไม่ว่ายังไงตระกูลเจี้ยงก็ไม่รอดแล้วประมาณนี้ครับ)
ความคิดแบบนี้เริ่มที่จะทำให้เจี้ยงเฉินมีโทสะ
เฮ้อ เฉินเอ๋อ ดูหลู่ไห่คนนี้ไม่ใช่คนที่เราจะไปทำให้โกรธเคืองได้ เขาอยู่อันดับสองจากผู้จัดการทดสอบมังกรซ่อนทั้งหมด เจี้ยงเฟิงถอนหายใจ
และอีกอย่าง พ่อของเจ้านั้นได้ยินมาว่าคนที่อยู่อันดับหนึ่งนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรมาก เขาได้ให้อำนาจมากมายแก่ดูหลู่ไห่ให้สามารถที่จำทำอะไรก็ได้ เขามักฟังการรายงานการเคลื่อนไหวของดูหลู่ไห่เป็นช่วง ๆ ดังนั้นเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงไปเลยว่าเขาในตอนนี้เปรียบเสมือนผู้รับผิดชอบหลัก
สำหรับขุนนางแล้ว เจี้ยงเฟิงนั้นกล้าหาญและมีความมุ่งมั่น แต่ในแง่ของกลยุทธ์และการวางแผนแล้วนั้น เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเลยแม้แต่น้อย
เจี้ยงเฉินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ตั้งแต่เขาเกิดใหม่ โดยเรื่องก่อนหน้านี่ก็แย่พออยู่แล้ว เพียงแค่เงินนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้?
เฮ้อ เฉินเอ๋ออย่าเศร้าใจไปเลย ข้าจะลองคิดดูอีกทีว่ามีทางอื่น ๆ อีกหรือไม่ที่เราสามารถทำได้ ไม่ต้องพูดถึง...
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าความรักของแม่จะทำให้ลูกชายของเธอล้มเหลว แต่กับเจี้ยงเฟิงในฐานะพ่อแล้ว เจี้ยงเฉินก็ได้รับรู้ว่าความรักของพ่อก็สามารถที่จะทำให้ลูกชายล้มเหลวเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจี้ยงเฉินก็ยังคงสัมผัสได้ ขุนนางเจี้ยงหานคนนี้นั้นรักลูกชายของเขาจริง ๆ สถานการณ์ที่เลวร้ายในตอนนี้เริ่มที่จะทำให้พวกเขาลำบากยากเย็นแสนเข็ญ แต่เขาก็ยังไม่กล่าวคำพูดอันรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น
ขอรับ ท่านพ่อ ข้าอยากรู้ว่าข้าอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในการทดสอบมังกรซ่อน ? นี่ดูหลู่ไห่ได้บอกเอาไว้รึเปล่า?
สีหน้าของเจี้ยงเฟิงนั้นดูอึดอัดเล็กน้อยและกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก เอ่อ..เรื่องนี้....
เจี้ยงเฉินกล่าวอย่างจริงจัง พ่อของเขายังคงพยายามรักษาความรู้สึกของเขาอยู่จนถึงตอนนี้เลยหรือเนี่ย?
ท่านพ่อ ข้ามันคนหน้าหนาอยู่แล้ว ข้ารับได้ มันแย่ขนาดไหนล่ะ? ท่านบอกข้ามาตรง ๆ เลยก็ได้
เจี้ยงเฟิงก็กังวลเช่นเดียวกันว่าลูกชายของเขาจะไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้ เขาส่งเสียง หึ ในลำคอเมื่อเห็นลูกชายของเขาเตรียมใจไว้แล้ว เจ้าเด็กบ้าอย่างเจ้ามันเป็นเด็กพิเศษอยู่แล้วนี่ เจ้าต้องการถามตาแก่คนนี้ว่าอันดับของเจ้าเป็นเช่นไร? เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าจะไม่ตกใจจนเกินไปถ้าเกิดข้าบอกไป?
บอกข้ามาเถอะน่า จริงๆแล้วข้าคงไม่ได้อยู่ที่โหล่หรอกนะ?
ยังต้องสงสัยอะไรอยู่อีกหรือไงว่าทำไมเจ้าได้ที่โหล่? เจี้ยงเฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยวเล็กน้อย ปัญหาของเราในตอนนี้คือเจ้ายังไม่ผ่านเกณฑ์สักอันของการทดสอบพื้นฐานทั้งสาม การสอบครั้งสุดท้ายของครึ่งหลังของปีนี้จะจัดขึ้นในปลายเดือนนี้ ถ้าเกิดว่าเจ้าไม่ผ่านการทดสอบพื้นฐานทั้งสามล่ะก็ เจ้าจะไม่มีแม้แต่สิทธ์ที่จะอยู่สอบครั้งสุดท้ายในการทดสอบมังกรซ่อนเสียด้วยซ้ำ
สองปีแรกของการทดสอบมังกรซ่อนนั้นเป็นระยะเวลาที่ใช้เรียนรู้และเติบโตขึ้น การสอบตรวจสอบคุณสมบัติจะจัดขึ้นเมื่อเวลาที่ใกล้จะจบลงแล้ว
หากผู้เข้าสอบไม่ผ่านการสอบตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเขาคนนั้นก็จะไม่มีสิทธ์อยู่สอบการสอบครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน
เจี้ยงเฉินเข้าใจในทันทีว่าทำไมพ่อของเขาต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ทำไมขุนนางที่น่าภาคภูมิใจและสง่างามถูกสั่งสอนเหมือนเด็กโดยดูหลู่ไห่
หลังจากเห็นเจี้ยงเฉินก้มหัวของเขาต่ำลงและไม่กล่าวอะไรออกมา เจี้ยงเฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าเด็กบ้า อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่แม้แต่จะจำได้ว่าการทดสอบพื้นฐานทั้งสามคืออะไร?
เจี้ยงเฉินถูจมูกของเขาและกล่าวขึ้น เอาล่ะ ข้าจะลองกลับไปและคิดเกี่ยวกับมันละกัน
ถ้าเกิดว่าเป็นขุนนางคนอื่น ๆ ล่ะก็ เขาคงจะทุบตีทั่วใบหน้าของลูกชายให้หนักหลังจากที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากลูกชายตนเอง
แต่เจี้ยงเฟิงนั้นพิเศษแตกต่างจากพ่อคนอื่น ๆ เขาเพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ ลูกชายข้า ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเจ้าคงจะต้องกลับไปที่ทุ่งนากับตาแก่ของเจ้าซะแล้ว เฮ้อ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีชีวิตที่มีแต่โชคลาภและร่ำรวยนั้นคงไม่ได้ถูกเขียนไว้บนดาวของตระกูลเจี้ยง พวกเราอาจต้องถอดชุดเกราะและกลับไปที่ทุ่งนากันในรุ่นของเจ้า เกิดเรื่องไร้สาระในเมืองมากเกินไป บางทีการกลับไปมีชีวิตที่เรียบง่ายก็อาจไม่ใช่ความคิดที่แย่ก็ได้
โปรดรอก่อน ท่านพ่อ ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าข้าอยากจะกลับไปใช้ชีวิตในชนบทและทำงานในทุ่งนากัน?
เจี้ยงเฟิงรู้สึกตกตะลึง แต่เรื่องการทดสอบพื้นฐานทั้งสาม....
มันก็มีแค่สามการทดสอบ! ถ้าเกิดว่าข้ามีเวลาพอล่ะก็ ข้าสามารถผ่านได้กระทั่งแปดหรือสิบเลยเสียด้วยซ้ำ
เจ้าเด็กบ้า นี่เจ้าจะตายใช่ไหมถ้าไม่ได้โม้อย่างน้อยวันละครั้ง? ถ้าไม่อย่างนั้น ผ่านการทดสอบแรกให้ได้ซะก่อนล่ะ มันยังมีกระทั่งความต้องการพื้นฐาน พลังปราณของเจ้าต้องอยู่ในขั้นปราณแท้จริงอย่างน้อยระดับที่สี่ เจ้ามีความสามารถถึงไหมล่ะ?
ปราณแท้จริงระดับสี่? การทดสอบพื้นฐานต้องการเรื่องง่าย ๆ แบบนี้เลยงั้นหรือ? เจี้ยงเฉินเริ่มประหลาดใจและยกแขนของเขาขึ้น ท่านพ่อลองมองดูไปที่ม้านั่งหินตรงนั้นสิ
เขาเริ่มโคจรพลังปราณของเขาไปทั่วร่างหลังจากที่เขากล่าวจบ ปราณไหลผ่านเส้นลมปราณราวกับแม่น้ำที่ไหลผ่าน ปราณที่เข้มข้นมารวมกันอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา
เชาชี้นิ้วของเขาและจ้องมองด้วยดวงตาของเขา
ปรากฏหลุมเล็ก ๆ ตรงม้านั่งหินตรงจุดที่เขาชี้นิ้วไป
เส้นพลังจากพลังปราณ หลอมรวมกันได้โดยไม่กระจายไป นี่เป็นพลังของขั้นปราณแท้จริงตอนกลางหรือเนี่ย? เจ้าเด็กบ้า นี่เจ้าไปทะลวงจุดพลังที่สี่ ชำระล้างเส้นลมปราณ และฝึกถึงขั้นปราณแท้จริงระดับสี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เจี้ยงเฟิงรู้สึกมีความสุขมากแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่ออยู่ดี ปราณแท้จริงระดับสี่นั้นเป็นการประสบความสำเร็จที่พื้นฐานเป็นอย่างมากในหมู่ลูกขุนนาง
การชำระล้างเส้นลมปราณที่สี่ไม่แม้แต่จะมีค่าให้พึงพอใจเสียด้วยซ้ำ
แต่สำหรับเจี้ยงเฟิงแล้ว ราวกับว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ ที่มีตนเองเป็นพยาน
ฮี่ ฮี่ ข้าเพิ่งทะลวงได้เมื่อวานเอง ข้าใช้เวลาทำสมาธิไปไม่กี่ชั่วโมง ใช่แล้ว ท่านพ่อ แล้วการทดสอบพื้นฐานอีกสองอันที่เหลืออยู่เล่า? ช่วยบอกข้าสักครั้งและข้าจะลองกลับไปคิดหาทางเองได้หรือไม่? เราไม่สามารถปล่อยให้คนแบบดูหลู่ไห่มาดูถูกเราได้ใช่ไหม?
เจี้ยงเฟิงถึงกับไม่มีคำพูดที่จะกล่าวออกมาได้ การสอบพื้นฐานเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าเขาสามารถที่จะจัดการเรื่องนี้ได้โดยบังเอิญ?
มีอะไรเกิดขึ้นหรืออย่างไร? หรือว่าเจ้าแก่ตดเหม็นดูหลู่ไห่ยังสามารถทำให้ชีวิตข้าลำบากขึ้นถึงแม้ว่าข้าจะผ่านการทดสอบพื้นฐานได้งั้นหรือ?
ไม่มีทาง! เจี้ยงเฟิงทุบหน้าอกของเขาและกล่าวอย่างหนักแน่น ตาแก่ของเจ้าไม่ใช่สัตว์กินพืชที่เอาแต่เกรงกลัวผู้อื่น ตราบใดที่เจ้าสามารถผ่านการทดสอบพื้นฐานและไปถึงการทดสอบสุดท้ายของการทดสอบมังกรซ่อน ข้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้าจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่สำหรับการทดสอบสุดท้ายนั้น.... ถ้าดูหลู่ไห่เล่นตุกติกล่ะก็...
บุคคลที่ชั่วช้าก็เป็นเพียงแค่มารร้ายตนหนึ่งเท่านั้นเอง ข้า เจี้ยงเฉินเป็นคนที่กล้าหาญ ข้าไม่กลัวบุคคลเหล่านั้นหรอก สิ่งเดียวที่ข้ากลัวคือความสามารถของเขานั้นธรรมดาและไม่อาจสร้างความวุ่นวายให้แก่ข้าได้ มันคงจะทำให้ข้าผิดหวังน่าดู
ในตอนจบของวันนี้นั้น เจี้ยงเฉินไม่ได้สนใจตัวตลกอย่างดูหลู่ไห่เลยแม้แต่น้อย
จริง ๆ แล้วการทดสอบพื้นฐานทั้งสามนั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสอบนี้ไม่ใช่การทดสอบ แต่เป็นการคัดพวกเศษสวะที่ไม่มีอะไรดีออกไป
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นพวกที่ไม่พยายามฝึกฝน พวกเขาก็ไม่มีปัญหาที่จะผ่านการทดสอบพื้นฐานเลย
นอกจากเจี้ยงเฉินแล้ว ทุกคนที่อยู่ในการทดสอบล้วนอยู่ในขั้นปราณแท้จริงระดับสี่ แม้แต่เจ้าอ้วนซวนก็ยังอยู่ขั้นปราณแท้จริงระดับที่ห้า
การทดสอบที่สองคือการฝึกเคล็ดวิชา'รัตนะม่วงบูรพา'จนกว่าจะถึงขั้นที่แท้จริง
และสามารถอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ระดับสี่ได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงอีกด้วย
เคล็ดวิชารัตนะม่วงบูรพานี้นั้นถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษจากตระกูลราชวงศ์บูรพา มันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้ก่อตั้งอาณาจักรนี้ขึ้นมาและเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักร
มันถูกแบ่งออกเป็นห้าขั้นความสำเร็จคือ 'ประสบความสำเร็จเล็กน้อย' 'มีความสามารถ' 'แท้จริง' 'ไร้ที่ติ' 'สมบูรณ์แบบที่สุด' มันเป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานที่ทุกคนต่างรู้จักกันดี
การทดสอบที่สามคือการสอบภาคทฤษฎี จุดประสงค์คือสอบความรู้ด้านต่าง ๆ ของเหล่าทายาทขุนนางทั้งหลาย การทดสอบนี้ง่ายดายเป็นอย่างมาก คนคนหนึ่งสามารถผ่านได้โดยการท่องจำ
บ้าบออะไรกัน! ตัวข้าในอดีตสอบการทดสอบนี้มาตั้งสองปีครึ่งและยังไม่สามารถผ่านมันได้อีกอย่างนั้นรึ?
เจี้ยงเฉินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เมื่อลองคิดถึงตาแก่ของเขา เวลาเขาพบลูกชายของเขา นี่เขาไม่เคยทุบตีลูกชายของเขาสักครั้งเลยรึอย่างไร?
การที่เขาได้ทำข้อตกลงกับองค์ราชาหลู่แห่งอาณาจักรตะวันออกว่าขอเวลาสามวัน ตอนนี้ผ่านมาเป็นเวลาสองวันแล้ว อีกวันที่เหลือนั้น เจี้ยงเฉินตัดสินใจที่จะใช้เวลานี้ในการพยายามผ่านการทดสอบพื้นฐาน
การเป็นเพียงขุนนางเล็ก ๆ ไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเจี้ยงเฉิน แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่มีลับลมคมในบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองหลวงและเขาไม่อยากจะสูญเสียผลประโยชน์ใด ๆ ไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบางคนรอดูอะไรบางอย่างจากตระกูลเจี้ยง
สำหรับพวกโง่เง่าที่มาหาเรื่องเขา เขาก็จะตบหน้ามัน บางทีเขาอาจจะระบายความผิดหวังของเขาโดยการช่วยเหลือพวกมันดีหรือไม่?
เคล็ดวิชารัตนะม่วงบูรพานั้นเป็นเทคนิคเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แล้ว เหล่าทายาทขุนนางทั้งหลายต่างได้เรียนรู้เพียงส่วนพื้นฐานของเคล็ดวิชานี้
จุดประสงค์ครั้งนี้คือการบังคับให้ทายาทขุนนางทุกคนเรียนรู้เรื่องพื้นฐาน, ศักยภาพ, บุคลิกภาพ, เข้าใจในวิถีแห่งเต๋าและความอดทนที่ต้องใช้ในหนทางแห่งการฝึกยุทธ์
เจี้ยงเฉินนั่งไขว้ขาและทำสมาธิ เขาลองฝึกฝนพื้นฐานของเคล็ดวิชารัตนะม่วงบูรพาดู
และในจังหวะนั้น ปัญญาความรู้ความทรงจำจากอดีตชาติได้โผล่ขึ้นมาและแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของมัน