ตอนที่ 16 เข้าวังเพื่อวินิจฉัยโรค
-------------------------
แม้ว่าจะเป็นวรยุทธ์จากสวรรค์ ก็ไม่มีวรยุทธ์ใดที่เจี้ยงเฉินทำความเข้าใจไม่ได้ สำหรับเจี้ยงเฉินแล้ววรยุทธ์ขั้นพื้นฐานจากโลกมนุษย์ง่ายราวกับเด็กฝึกอ่านเขียน "ซานจื่อจิง(หนังสือกลอนคู่สามอักษร)" "ไป่เจียซิ่ง(หนังสือรวมชื่อสกุล)" ***
หลังจากทบทวนทฤษฎีในใจแล้ว จุดเด่นจุดด้อยของวิชานี้ก็ปรากฏขึ้น นั่นทำให้เขาทั้งโกรธทั้งขำ จากความทรงจำ เจี้ยงเฉินคนเก่าฝึกลมปราณรัตนะม่วงบูรพาแค่หกครั้งในสองปีครึ่งและในครั้งเหล่านั้น มีอยู่สองครั้งที่เขาฝึกไม่ถึงสิบนาทีก่อนที่เพื่อนของเขาจะลากออกไปเล่นข้างนอก
มันน่าโมโหมาก ที่ผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติที่ดีจะขี้เกียจจนถึงขนาดตกมาอยู่อันดับท้ายสุดของชั้นได้
มีอย่างเดียวที่น่ายินดีคือยิ่งเจี้ยงเฉินคนก่อนฝึกน้อยมากแค่ไหน ก็ยิ่งดีสำหรับเจี้ยงเฉินคนนี้มากขึ้นเท่านั้น นี่ทำให้เขาเสียเวลาที่ต้องแก้ไขสิ่งที่เจี้ยงเฉินคนเก่าทำผิดพลาดขณะที่ฝึกน้อยลง และดีที่ว่าเจี้ยงเฉินคนเก่าฝึกปิดเปิดวรยุทธ์แค่หกครั้ง
เท่ากับว่าเขาต้องเริ่มใหม่จากศูนย์
การฝึกวรยุทธ์พื้นฐานแบบนี้ไม่ต้องใช้สมองทำความเข้าใจมากเท่าไหร่ ความลับของพลังเต๋าที่ผู้ฝึกตนคนอื่นคิดไม่ได้ เขาก็หาเจอและยังสามารถปรับปรุงในจุดที่ไม่สมบูรณ์ได้ด้วย
แน่นอนว่าเจี้ยงเฉินไม่เปลืองสมองและเสียเวลากับวรยุทธ์พื้นฐานเช่นนี้นาน
เขาใช้เวลาทำความเข้าใจทฤษฎีอยู่แค่หนึ่งชั่วโมงมันง่ายมากที่จะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด เมื่อเข้าใจทั้งหมดก็ฝึกไม่ยาก
เขาแค่ยังไม่คุ้นเคยในรอบแรกที่โคจรลมปราณและตะกุกตะกักเล็กน้อย และมันง่ายขึ้นมากในรอบที่สอง
รอบที่สามสามารถเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญ
รอบที่สี่,รอบที่ห้า..
ถ้าบรรพบุรุษของราชวงศ์ตงฟางรู้ว่าเจี้ยงเฉินสามารถเชี่ยวชาญวรยุทธ์ในการโคจรลมปราณหกครั้ง เขาคงอ้าปากค้างและคุกเข่าอ้อนวอนให้เจี้ยงเฉินเป็นอาจารย์ของเขา
นี่เพราะเขามีแหล่งอ้างอิงมากกว่าสิบแหล่งสำหรับวรยุทธ์พื้นฐานและเป็นเขาเองที่หยุดตัวเองก่อน ถ้าไม่เป็นเพราะเจี้ยงเฉินไม่ต้องการเปลืองสมองมากแล้ว เขาสามารถหาแหล่งอ้างอิงได้มากกว่าร้อยแหล่ง
เขาพึงพอใจหลังจากการฝึกหลายครั้งและเริ่มรู้สึกเบื่อจึงหยุดฝึก มันเสียเวลามากไปในการเรียนรู้เทคนิคง่าย ๆ ที่คล้ายกับที่เคยโดนบังคับให้เรียนในตอนเด็กเมื่อชาติที่แล้ว
เขาตัดสินใจไปลองทดสอบแบบทดสอบทั้งสามดู
"การทดสอบวรยุทธ์", "การทดสอบสมุนไพรจิตวิญญาณ", "การทดสอบการปกครอง", และ "การทดสอบยุทธวิธีทางกองทัพ".
การทดสอบทั้งสามหัวข้อนี้ต้องใช้ความจำ และแน่นอนต้องใช้ความสร้างสรรค์ด้วย
สำหรับส่วนความสร้างสรรค์ ผู้เข้าสอบผ่านการทดสอบได้แม้พวกเขาไม่ได้ใส่ใจมันนัก มันแค่ใช้แยกอัจฉริยะออกจากคนทั่วไป
เจี้ยงเฉินค่อนข้างไม่เต็มใจพิจารณามันเท่าไหร่นัก มันก็แค่บททดสอบคร่าว ๆ ที่ธรรมดามาก ๆ ด้วยประสบการณ์และความรู้ของเขาแล้ว เหมือนกับผู้ใหญ่เขียนคำตอบให้เด็ก มันไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว
"ดี, ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับการทดสอบเล็กน้อยเช่นการทดสอบมังกรซ่อน งานที่สำคัญก็คือหาวรยุทธ์ที่เหมาะกับร่างนี้ มันไม่จำเป็นต้องดีมากแต่ต้องพัฒนาได้ไม่มีที่สิ้นสุด"
จากความทรงจำของเจี้ยงเฉิน วรยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่และหายากในโลกนี้มันธรรมดามากเหมือนกับขนวัว แต่การที่จะหาอันที่เข้ากันได้มันไม่ง่ายเลย
เนื่องจาก อย่างแรกเลยคือร่างกายนี้ไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ที่อลังการเกินไปและต่อต้านกฎธรรมชาติได้ มันเหมือนกับคนที่เคยอิ่มทิพย์ทานอาหารที่ปนเปื้อนจากพื้นดินและทะเล นั่นทำให้อาหารไม่ย่อย
แน่นอนว่าวรยุทธ์นี้ต้องไม่แย่เกินไป ถ้ามันแย่เกินไปเขาจะล้าหลังคนอื่นและมันจะมีผลต่อขีดจำกัดของเขาในอนาคต
เจี้ยงเฉินไม่ต้องให้เส้นทางฝึกตนเขาไม่ราบรื่นเพราะเขาเริ่มต้นผิดทาง
มันเป็นอะไรที่รีบร้อนไม่ได้ ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เจี้ยงเฉินยังไม่คุ้นเคยกับร่างนี้เต็มที่และยังไม่สามารถหาวรยุทธ์ที่เหมาะสมได้
โอ้ ดีล่ะ, ตอนนี้สำหรับเขา งานหาวรยุทธ์ที่เหมาะสม และการพัฒนาลมปราณรัตนะม่วงบูรพาพอแค่นี้แล้วกัน
คู่ต่อสู้ในปัจจุบันคือจักรพรรดิหลู่ ซึ่งคน ๆ นี้ต้องรับมืออย่างเหมาะสม
ในสามวันนี้เจี้ยงเฉินไม่ได้ไปไหน ขลุกตัวอยู่แต่ในหอสมุดที่จวน ตอนที่มาถึงโลกนี้เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย ความทรงจำของเจี้ยงเฉินคนเก่านอกจากอะไรโง่ ๆ แล้วก็ไม่มีค่าอะไร
เจี้ยงเฉินจะไม่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้เรื่อง 'รู้เขารู้เรา' เป็นหนทางสู่ชัยชนะ
แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในตัวตนที่ธรรมดา และความทรงจำในชาติที่แล้วสามารถสนับสนุนเขาในเชิงทฤษฎีได้แต่เขาก็ยังต้องพึ่งร่างกายนี้ในการฝึกปรือ
ทฤษฎีสามารถช่วยเขาประหยัดความพยายามในเส้นทางที่สูญเปล่าและช่วยเขาให้พัฒนาก้าวล้ำหน้าผู้อื่น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในเวลาสั้น ๆ
ถ้าเขาทำตัวหยิ่งยโสเพราะมีความทรงจำจากชาติก่อนแล้ว เขาต้องตายไม่รู้เรื่องในสักวัน
อย่างไรก็ตามระดับความแข็งแกร่งเขาอยู่เกือบล่างสุดในโลกนี้ มีคนมากมายที่สามารถฆ่าเขาได้ด้วยนิ้วเดียว
เจี้ยงเฉินเข้าใจสถานการณ์บนโลกใบนี้ดีหลังจากอ่านตำราทั้งคืน เขารู้สึกได้ถึงความก้าวหน้า เมื่อถึงช่วงกลางคืนเขากลับเข้าไปห้องลับและฝึกหนักอีกครั้ง
หลังจากฝึกตลอดทั้งคืน เขาโคจรลมปราณแท้จริงขั้นที่สี่ดีขึ้น และจุดลมปราณสี่จุดแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเขาโคจรหลายครั้ง
"ดูจากความเร็วการโคจรลมปราณแล้ว จุดลมปราณของข้าคงทะลวงผ่านจุดที่ห้าใน 5-6 วันนี้"
ในโลกของการฝึกลมปราณ ขั้นต่อไปยากกว่าขั้นที่ผ่านมาแล้วมาก
การที่จะเปิดจุดลมปราณจุดต่อไปยากกว่าจุดที่แล้วมาก ก่อนที่จะมีพื้นฐานมั่นคงถ้าผู้ฝึกตนดึงดันที่จะทะลวงจุดไปก็อาจจะทำให้จุดลมปราณเสียหายได้ กรณีที่ดีที่สุดคือจุดลมปราณเสียหายและผู้ฝึกตนต้องหยุดเส้นทางฝึกตนไปเลย และกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือจุดลมปราณพังทลายและตายทันที
เส้นทางการฝึกตน ชีวิตของผู้ฝึกตนแขวนอยู่บนเส้นดายตลอดเวลา
แน่นอนว่า เจี้ยงเฉินมีข้อได้เปรียบเช่นกัน ในความทรงจำมหาศาลของเขา มีหนทางมากมายที่จะทำให้จุดลมปราณแข็งแกร่ง รวมถึงวิธีใช้สมุนไพรจิตวิญญาณด้วย ถ้ามีสมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนมากสนับสนุนแล้วเขาจะทำเรื่องพวกนี้เมื่อใดก็ได้
เป็นเรื่องปกติที่ คนมีพรสวรรค์สูง ๆ จะใช้เวลา 3 - 4 เดือนเลื่อนจากจุดลมปราณสี่จุดไปห้าจุด คนมีพรสวรรค์ที่ดีใช้เวลาประมาณหกเดือน และเก้าเดือนสำหรับคนที่พรสวรรค์ทั่วไป ส่วนที่ใช้เวลานานกว่านั้นคือคนธรรมดา แน่นอนว่ามีบางคนที่พยายามทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ พวกนั้นอยู่นอกเหนือจากกลุ่มที่ต้องพิจารณา
แต่เจี้ยงเฉินมั่นใจในเทคนิคและการสนับสนุนจากสมุนไพรจิตวิญญาณ เขามั่นใจว่าจะทะลวงผ่านจุดชีพจรลมปราณจุดที่ห้าภายในเจ็ดวันนี้ และเขามีรายละเอียดบางจุดที่เขาไม่ต้องเสียเวลา นั่นคือการระบุตำแหน่งจุดชีพจรลมปราณของเขา
ในโลกนี้ ความก้าวหน้าขึ้นอยู่กับการเปิดจุดชีพจรลมปราณแต่ละจุด แต่ไม่มีทฤษฎีไว้ใช้หาจุดชีพจรลมปราณ แต่เจี้ยงเฉินมีวิธีการหาตำแหน่งที่แท้จริงของจุดชีพจรลมปราณ
เจี้ยงเฉินค่อนข้างพอใจกับชีวิตที่ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ เช่นนี้
เช้าวันถัดมา, เจี้ยงเฉินตื่นเมื่อแสงแรกของวันสาดส่องมาจากทิศตะวันออก เขาไปยังสนามฝึกซ้อมในจวนและฝึกลมปราณม่วงรัตนะบูรพา กับวรยุทธ์สองวรยุทธ์ที่รวมอยู่กับลมปราณนี้
"ฝ่ามือรัตนะม่วงเมฆา" นั้นสวยงามนุ่มนวล เหมือนใบไม้และดอกไม้ที่ตกลงมาฉับพลัน ไล่ตามคว้าจันทร์ แก่นของวิชา คือ จริงคือเท็จ เท็จคือจริง
ในทางกลับกัน "ดัชนีราชันบูรพา" นั้นคาดเดาไม่ได้ ราวกับสายฟ้าหรือดาวตก เหมือนมังกรศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาแล้วทันใดนั้นจู่ ๆ ปรากฏก็ตัวขึ้นกลายเป็นความจริง
เจี้ยงเฉินเรียนรู้ทั้งสองวิชาได้อย่างสมบูรณ์ เขาเม้มปากแน่น ในมือของเขา เขาสามารถพัฒนาปรับปรุงวิชาทั้งสองนี้ได้อีกมาก
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ชมแม้แต่คนเดียวตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเจี้ยงเฉินจะต้องได้รับกำลังใจอย่างท่วมท้น
เจี้ยงเฉินทานอาหารเช้าในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังและให้เจี้ยงเฉิงไปส่งศิลาพลังหยางในพระราชวัง
เจี้ยงเฉินคนเก่าเคยตามขุนนางแห่งเจี้ยงหานไปในพระราชวังหลายครั้ง ดังนั้นเส้นทางไปพระราชวังก็คุ้นเคยดี และยังดีที่มีเหรียญสลักมังกรไว้ถามทางได้
แม้ว่าพระราชวังจะน่าประทับใจมากกว่าจวนขุนนางเจี้ยงหานเป็นร้อยเท่า มันก็ไม่น่าสนใจสำหรับเจี้ยงเฉินเท่าไหร่ เมื่อเปรียบเทียบภาพอันโอ่อ่ากับที่เขาเคยเห็นในชาติก่อนของเขา ความงดงามของที่นี่เทียบไม่ติดทีเดียว
"เจี้ยงเฉินถวายบังคมองค์ราชา" ขุนนางต้องโค้งคำนับราชา ดังนั้นเจี้ยงเฉินจึงค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นจักรพรรดิหลู่
จักรพรรดิหลู่ย่อมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาเรื่องกับเรื่องเล็ก ๆ อย่างมารยาทของเจี้ยงเฉิน เมื่อไม่กล่าวถึง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำมาใส่ใจ
"เจี้ยงเฉิน, ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าในวันนี้ ลืม ๆ เรื่องไม่ดีระหว่างข้ากับเจ้าไปเสียเถิด และมองอนาคตข้างหน้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร?"
"อะไรที่เกิดขึ้นก่อนหน้า? องค์ราชา, ส่วนที่ดีที่สุดของข้าก็คือความทรงจำที่สั้นมาก ฮ่าฮ่า" เจี้ยงเฉินไม่ได้พูดจามากมารยาท และเขาตัดสินใจจะแกล้งโง่
"ดี, ข้าชอบคนฉลาด. เซี่ยถิง, พาเจี้ยนเฉิงไปฝ่ายในเพื่อวินิฉัยโรคองค์หญิงจื่อยั่ว "
"ขอรับ, กระหม่อมรับคำสั่ง" เซี่ยถิงเป็นขันทีผู้หนึ่ง ขันทีที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิได้ ตำแหน่งต้องไม่ธรรมดา เซี่ยถิงเป็นคนฉลาด, และเขาไม่ดูถูกเจี้ยงเฉินจากเรื่องราวที่แล้ว ๆ มา ในทางกลับกัน เขาค่อนข้างเป็นมิตรและสุภาพ เขายิ้มอย่างสบาย ๆ "ท่านขุนนางน้อย, โปรดตามข้าน้อยมา"
เจี้ยงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย "พ่อบ้านส่วนตัวของเจี้ยงเฉินจะส่งศิลาพลังหยางมาที่หลัง, โปรดส่งเขาไปที่ตำหนักองค์หญิง"
พระราชวังค่อนข้างกว้าง และดูเหมือนจะต้องใช้เวลาสักครู่กว่าจะถึงตำหนักใน
เจี้ยงเฉินส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนระกว่างทางเดินมุ่งไปทางสวนดอกไม้
ในด้านสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องวิจารณ์เกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ แต่ต้นไม้ตลอดสองข้างทาง ทุ่งดอกไม้ ภาพขุนเขาที่งดงาม ทางเดินทอดยาวระหว่างตำหนักสู่ตำหนัก และของประดับตกแต่งสวนหลากหลายชนิดตลอดทางเดินนี้ เห็นได้ว่าองค์หญิงทรงได้รับความรักอย่างมากมายทีเดียว
พื้นที่สีเขียวกว้างไกลปรากฏขึ้นเมื่อเดินผ่านประตูโค้งไป เซี่ยถิงให้เจี้ยงเฉิงให้ยืนหน้ารูปวาดดอกไม้รูปหนึ่ง
"ท่านขุนนางน้อย เราต้องหยุดตรงนี้"
มีเด็กผู้หญิงสองคนอยู่บนสนาม ถ้าจะเอาให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ เด็กสาวที่หน้าตาใสซื่อและยังคงไม่โตเต็มที่คน ๆ นั้นคือ องค์หญิงตงฟางจื่อยั่ว
เธอถือดาบไม้ไว้ในมือและพยายามทำตามคำแนะนำของผู้หญิงอีกคนอย่างตั้งใจ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะอายุมากกว่ายี่สิบไม่มากแต่การเติบโตทางด้านร่างกายดีทีเดียว เธอเหมาะกับชุดรัดรูปที่ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของเธองดงามยิ่งขึ้น
เธอแสดงสีหน้ากระตือรือร้นและเข้มงวดสลับกันระหว่างตะโกน แผ่บรรยากาศรอบตัวแบบผู้กล้าออกมา
"เจ็บจัง!"
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเล็กน้อย เมื่อดาบไม้ในมือองค์หญิงจื่อยั่วตกสู่พื้น ในทางกลับกันดาบไม้ของผู้หญิงเซ็กซี่อีกคนจ่อคอขาวสะอาดขององค์หญิงตงฟางจื่อยั่ว
เจี้ยงเฉินเอาแต่ส่ายหัวไม่พูดอะไร ยัยนี่เป็นใคร? เธอต่อสู้และเอาดาบพาดคอองค์หญิง เธอเข้าใจถึงคำว่าดึงพลังกลับระหว่างการฝึกซ้อมหรือไม่? และยิ่งไปกว่านั้น ครั้งที่แล้วที่เจอกันข้าไม่ได้ให้คำแนะนำแก่องค์หญิงจื่อยั่วหรอกเหรอว่าให้หยุดฝึกพลังเต๋า?
"ผู้หญิงโง่เง่า" ปากเจี้ยงเฉินขยับเบา ๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า "เรื่องงี่เง่าไร้สมองเกินไป ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่ง"
แต่ใครจะคิดว่าการที่เขาจะส่ายหัวและเม้มปาก ทั้งหมดจะอยู่ในสายตาของผู้หญิงโง่เง่าคนนั้นและนำพาเรื่องราวที่น่ารำคาญมาให้กัน
***ซานจื่อจิงและไป่เจียซิ่ง เป็นหนังสือสำหรับเด็กชาวจีนขั้นพื้นฐานเพื่อสอนให้เด็กรู้จักวัฒนธรรม บทกวี สภาพสังคม ประวัติศาสตร์เบื้องต้น ซานจื่อ,จิงไป่เจียซิ่ง นิยมสอนควบคู่ไปกับ เฉียนจื้อเหวิน(หนังสือพันอักษร)ด้วย