ตอนที่ 21 ความภาคภูมิใจของตระกูลหลง
-------------------------
เจี้ยงเฉินไม่คิดว่าคำพูดไม่กี่คำของเขาจะมีผลกระทบมากมายขนาดนั้น เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กในงานเลี้ยงเงียบสนิทลงทันที
สายตามากมายนับไม่ถ้วนมองมาที่เจี้ยงเฉินอย่างนิ่งงัน
ตอนนี้ทั่วทั้งอาณาจักรตงฟางรู้แล้วว่าจวนขุนนางมังกรทะยานต้องการที่ดินที่สามารถปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณได้ของจวนขุนนางเจี้ยงหาน และเขาก็ยังจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ที่ดินผืนนี้มา
ดูจากสถานะในปัจจุบัน,นี่เจี้ยงเฉินจะประกาศศึกเหรอ? เขาต้องการประกาศต่อสาธารณชนว่าเขามีปัญหากับจวนขุนนางมังกรทะยานเหรอ?
อย่างไรก็ตามเจี้ยงเฉินผู้ตกเป็นเป้าสายตาไม่สนใจ เขาดึงเก้าอี้ให้ตัวเอง นั่งลงและเหลือบมองไปที่ร่างกายขององค์หญิงจื่อยั่ว เขาพึมพำว่า "ดูเหมือนในช่วงหลายวันนี้เจ้าจะยุ่งมาก,ด้วยอัตราการเสื่อมโทรมของร่างกายขนาดนี้ เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสิบหกหนาวนะ"
กริก,แครก..
อย่างน้อยก็สามในสี่ของคนทั้งหมดปล่อยแก้วของพวกเขาตกหลังจากได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาตกใจมากจนกระทั่งปล่อยแก้วตกแตก
ส่วนน้อยที่ยังไม่รู้จักเจี้ยงเฉินก็ไม่สามารถอดทนอยู่ได้และเริ่มถามรอบ ๆ ตัวว่า ขุนนางน้อยนี้มาจากตระกูลใด? นี่เรียกความกล้าหาญนี้ว่าบ้าบิ่นก็ยังได้
อย่างไรก็ตาม นี่คือธิดาองค์ที่ราชารักที่สุด
และนอกจากนั้นองค์หญิงยังนั่งอยู่ข้าง ๆ องค์หญิงโจวหยู่ที่ทำหน้ามืดครึ้มลงเรื่อย ๆ
เมื่อมองหน้าองค์หญิงโจวหยู่ที่มืดครึ้มลงเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่จะระเบิดออกมาแล้ว พวกที่ต้องการจะชมละครปาหี่สนุก ๆ ก็ไม่กล้ามองไปทางนั้นอีกเลย
ทุกคนรู้ว่าองค์หญิงโจวหยู่เป็นอัจฉริยะในเส้นทางการฝึกพลังเต๋าของอาณาจักรตงฟาง เธอเป็นหนึ่งในคนที่มีอำนาจมากของอาณาจักรตงฟาง แม้ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ด้วยสถานะของเธอที่เป็นผู้ควบคุมหลักของบททดสอบมังกรซ่อน จะมีขุนนางคนไหนกล้าขัดใจเธอกัน?
เจี้ยงเฉินไม่ตระหนักถึงการตกเป็นเป้าสายตาจนเขานั่งเรียบร้อยแล้วจึงรู้ว่าเขาตกเป็นเป้าสายตาจากหลากคู่
และเจี้ยงเฉินยังสังเกตเห็นว่าทุกคนที่นั่งกับเขา น่าประหลาดใจมากที่ค้นพบคนคุ้นเคย
เช่น หัวหน้าหอลำดับสาม,ขุนนางเทียนชุ่ยคนที่ตบหน้าตัวเอง เป็นต้น
เห็นได้ชัดว่าวันนี้ขุนนางเทียนชุ่ยทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้แน่นอนว่าเขาต้องหาเรื่องตระกูลเจี้ยงเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตัวขุนนางเทียนชุ่ยเองหรือบุตรของเขา วันนี้พวกเขาก็เงียบจนน่าประหลาดใจ
ขุนนางเทียนชุ่ยยังคงหลอนจากเหตุการณ์ที่จวนเจี้ยงหานอยู่ แม้ว่าตัวเจี้ยงเฉินจะไม่ได้เป็นคนสั่งสอนเขาโดยตรงแต่มันก็ยังทำให้ใจเขาเต็มไปด้วยความกลัวต่อตระกูลเจี้ยงอยู่ดี
เขาไม่ได้รู้ถึงข้อตกลงระหว่างเจี้ยงเฉินกับราชาหลู่ แต่ก็เชื่อไม่ได้ว่ามันจะไม่มีปัญหาตามมาถ้าตอแยกับพ่อลูกตระกูลเจี้ยงมากเกินไป
มีขุนนางน้อยหลายคนเดินเรียงกัน มุ่งตรงมาที่เจี้ยงเฉิน ขณะที่เจี้ยงเฉินกำลังจะถามองค์หญิงจื่อยั่วถึงสภาพร่างกายเธอในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แกนนำคือทายาทจากจวนพยัคฆ์ขาว,ไป่ซานอวิ๋น
"เจี้ยงเฉิน, เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร?" ไป่ซานอวิ๋นชักสีหน้าโกรธเคือง "วันนี้วันเกิดน้องหลงยู่ซือ เจ้ากล้าพูดว่าที่นี่เป็นที่สกปรกได้อย่างไร! ข้าขอสั่งให้เจ้าขอโทษเดี๋ยวนี้!"
"และข้า ฮงเทียนตง สั่งให้เจ้าขอโทษเจ้าภาพและแขกท่านอื่น ๆ ในนามของจวนหงส์เพลิง!" แขกท่านอื่น ๆ เงยหน้าขึ้นทันทีกับการจู่โจมโดยไม่คาดคิดนี้ซึ่งผิดวิสัยกับคนแบบฮงเทียนตง
เห็นได้ชัดว่าฮงเทียนตงไม่ต้องการให้ไป่ซานอวิ๋นได้หน้าคนเดียวต่อหน้าหลงยู่ซือ
พวกเขาทั้งสองมาจากตระกูลสูงศักดิ์
ความแข็งแกร่งของ 108 ขุนนางในอาณาจักรตงฟางเปลี่ยนแปลงขึ้นลงบ่อยครั้ง แต่อันดับหนึ่งถึงสี่ ค่อนข้างมั่นคง ไม่ว่าในอาณาจักรจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ตำแหน่งหนึ่งถึงสี่ก็ไม่เคยเปลี่ยน
มังกรทะยานอันดับแรก,พยัคฆ์ขาวอันดับสอง,หงส์เพลิงอันดับสาม,และเต่าทมิฬอันดับสี่!
สองจากสี่ทายาทขุนนางเป็นแกนนำ และนำทายาทขุนนางจากตระกูลสูงมากับเขาด้วย พวกเขาเข้ามาล้อมรอบเจี้ยงเฉินและแผ่กลิ่นอายคุกคามออกมา
เจี้ยงเฉินรักษาความเยือกเย็นเอาไว้และชำเลืองมองด้วยหางตาไปที่ฮงเทียนตง และถามแบบนิ่มนวลว่า
" เจ้าสั่งข้า ? "
"เจ้าจะพูดอย่างนั้นก็ได้" ฮงเทียนตงตอบอย่างหยิ่งยโส
"โอ้.." เจี้ยงเฉินตบหน้าผากเบา ๆ ยิ้มโดยที่ไม่มองไปที่องค์หญิงโจวหยู่ "องค์หญิงโจวหยู่, เพื่อนคนนี้เป็นคนในราชวงศ์เหรอ? หรือข้าจำผิด? ขุนนางมีสิทธิ์ในการสั่งขุนนางคนอื่นด้วยเหรอ? เท่าที่ข้าจำได้มีแค่ราชวงศ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์สั่งขุนนาง!"
เขามองไปที่ฮงเทียนตงอย่างเกียจคร้านและหัวเราะเบา ๆ "ทายาทจวนหงส์เพลิงใช่ไหม? เมื่อใดกันที่เจ้าเปลี่ยนสกุลเป็นตงฟาง? ทำไมเจ้าไม่ป่าวประกาศเรื่องสำคัญเช่นนี้ล่ะ? เจ้าไม่ประกาศล่วงหน้า พวกเราเลยยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน!"
ฮงเทียนตงผู้ที่แสดงท่าทางอวดดีเมื่อก่อนหน้าสักครู่ เงียบลงทันทีและกลายเป็นใบ้จากคำถามง่าย ๆ ได้แต่ยืนแข็งเป็นรูปปั้น
"สำหรับเจ้า, ไป่ซานอวิ๋นใช่ไหม? ถ้าข้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เจ้าเข้ามาตอแยข้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่ต้องการทำตัวให้ต่ำลงมาอยู่ระดับเดียวกับเจ้า แต่วันนี้ หมายความว่าอย่างไรที่เจ้ามายืนตรงนี้ และตะโกนโวยวายออกมา ถ้าเจ้าอ้างว่านี่ที่ไม่ได้สกปรก? เจ้าตาบอดหรือเปล่า? เจ้าไม่เห็นเหรอว่าองค์หญิงนั่งอยู่ตรงนี้? เจ้ารู้จักมารยาทของชนชั้นสูงไหม? ตะโกนโวยวายและกระโดดหยองแหยงต่อหน้าองค์หญิง, เจ้าคิดว่านี่คือมารยาทที่ถูกต้องเหรอ?"
"และนอกจากนั้น เจ้าต้องการอะไร? เจ้าสองคนออกมาเป็นแกนนำในการรวบรวมความโง่เง่าทำให้เหตุการณ์บานปลาย และพยายามจะบอกทุกคนในที่นี้ว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังใจที่กบฏอีกต่อไป?"
คำพูดที่แหลมคมของเจี้ยงเฉินทำให้เหล่าเด็ก ๆ น้ำท่วมปาก หน้าขึ้นสีจากความโกรธและจิตใจว่างเปล่า พวกเขาต้องการหาคำพูดมาโต้กลับแต่ก็กลับหาไม่ได้
พลังปราณรอบตัวไป่ซานอวิ๋น เริ่มสั่นด้วยความโกรธแค้น, "เจ้า.. เจี้ยงเฉิน.. มารดาเจ้าสิ.. เจ้าก้อนเลือดออกจากช่องคลอด!"
"อ้าวแล้วแม่เจ้าไม่ได้ปล่อยก้อนเลือดออกจากช่องคลอดเหรอ? ถ้าแม่เจ้าไม่ได้ปล่อยก้อนเลือดออกจากช่องคลอด, แล้วเจ้าคลานมาจากที่ไหนกันล่ะ? หรือพ่อเจ้าเก็บเจ้ามาจากข้างถนน?" เมื่อมันกลายเป็นการตบตีกันด้วยวาจา, เจี้ยงเฉินเคยมีอาชีพด่าผู้อื่นอยู่นับล้านปีในชาติก่อนของเขา ลิ้นเขาคมดุจใบมีด สามารถด่าได้ทุกสิ่งที่มีอยู่ภายใต้สวรรค์
เจ้าพวกตัวตลกนี่นะไม่มีทางเทียบชั้นได้หรอก
แต่องค์หญิงจื่อยั่วไม่เข้าใจส่วนสุดท้ายของคำพูดเขา เธอดึงแขนเสื้อเขาด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา "พี่ชายเจี้ยงเฉิน ถ้าแม่ของเขาไม่ปล่อยก้อนเลือดออกจากช่องคลอดแล้วเขาจะถูกหยิบขึ้นมาจากถนนได้หรือไม่?"
"อืม..." มันกลายเป็นเจี้ยงเฉินที่หยุดชะงัก และพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก, "คำถามนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก เจ้าจะเข้าใจเมื่อเจ้าแต่งงานแล้ว"
องค์หญิงโจวหยู่เองก็ยังงง เธอคิดว่าเจี้ยงเฉินด่ามั่ว ๆ และคำที่พูดมานั้นไม่มีความหมาย แต่หลังจากการอธิบายของเขา เธอพลันคิดถึงฉากการคลอดบุตร..
ไม่ปล่อยก้อนเลือดออกจากช่องคลอด?
องค์หญิงโจวหยู่เริ่มส่งสายตาทิ่มแทงและจิตสังหารเมื่อเธอคิดได้ถึงความนัยที่พวกเขาพูดกัน เจ้าเด็กบ้าเจี้ยนเฉิน! เขาจะทำให้ยั่วเอ๋อแปดเปื้อนถ้าอยู่กับเขานานกว่านี้!
เธอตัดสินใจจะระบายความโกรธของเธอลงที่ไป่ซานอวิ๋นและฮงเทียนตง เจ้าสองคนนั้นยังยืนโง่ ๆ อยู่ตรงนั้น เธอตบโต๊ะและกล่าวว่า "เจ้าทั้งสองคนมีอะไรจะพูดไหม? เจ้ายังจะรักษามารยาทชนชั้นสูงอีกไหม?"
บรรยากาศเลวร้ายลงเมื่อองค์หญิงโจวหยู่เริ่มหมดความอดทน
นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ หลายครั้งแล้วที่ทัศนคติขององค์หญิงโจวหยู่ที่เหมือนกับทัศนคติของราชาปกป้องเจ้าเด็กนั่นไว้!
เสียงหัวเราะจริงใจซึ่งแทนตัวขุนนางมังกรทะยานดังมาจากโถงจัดเลี้ยงหลัก ขณะที่กำลังเกิดสถานการณ์แปลก ๆ นี้ "ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย โปรดสงบลงหน่อยเถิด นี่เป็นโอกาสหายากที่เราอยู่กันมากมายขนาดนี้ในงานวันเกิดปีที่สิบหกของลูกสาวคนสุดท้องของข้า ข้าเชิญทุกท่านมาที่นี่ หนึ่ง,เพื่อฉลองวันเกิดปีที่สิบหกของลูกสาวข้า และสอง,เพื่อแบ่งปันข่าวที่น่ายินดีกับทุกคน"
"โอ้? ท่านที่เคารพ, เกิดเรื่องดีๆอะไรขึ้นเหรอ? ท่านปิดข่าวอย่างแน่นหนา"
"ใช่ ท่านที่เคารพ, บอกมาเร็ว! เรารอไม่ไหวแล้ว"
"ฮ่าฮ่า ไม่ต้องใจร้อนทุกๆคน ดูเหมือนว่าข้าจะซ่อนข่าวได้ดีเกินไป ข้าจะไม่บิดบังอีกต่อไปแล้ว จริงๆแล้ว นี่เป็นข่าวที่น่ายินดีและมีผลกระทบใหญ่หลวงกับอาณาจักรตงฟางด้วยเช่นเดียวกัน ลูกสาวของข้า,ยู่ซือ เนื่องจากเธอมีร่างฟีนิกส์สวรรค์ตั้งแต่เกิด และได้รับความสนใจมากจากผู้เชี่ยวชาญลึกลับท่านหนึ่งและได้รับเลือกเป็นศิษย์สายตรงของท่านนั้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆได้มาแสดงความยินดีด้วยตัวเองและจะรับลูกสาวข้าเข้าสู่สำนักตะวันม่วงหลังจากจบการทดสอบมังกรซ่อน!"
"อะไรนะ! สำนักตะวันม่วง? นั่นเป็นสำนักชั้นนำของสำนักระดับสี่ในสิบหกอาณาจักร!"
"เหล่าผู้เชี่ยวชาญลึกลับนั้นมีชื่อเสียงในสำนักมากนัก ใครจะคิดว่าหลงยู่ซือจะมีโชคดีเยี่ยงนี้ ยินดีด้วย!"
"ร่างฟีนิกส์ววรรค์นั่นฟังดูไม่ธรรมดาเลย!"
"เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ควรกระจายไปทั่วอาณาจักร! ยินดีด้วยท่าน, อนาคตของมังกรทะยานจะมีแต่ความมั่งคั่งและศักยภาพไม่มีที่สิ้นสุด!"
"ขอแสดงความยินดีด้วย!"
ขณะนั้นถ้อยคำแสดงความยินดีดังขึ้นเหมือนน้ำมันเทลงในแม่น้ำไร้ที่สิ้นสุด(เหมือนกับเมื่อเทน้ำมันลงแม่น้ำ น้ำมันก็จะลอยอยู่แค่ข้างบน หรือพูดได้คือแสดงความยินดีแค่ฉากหน้าเท่านั้นไม่ได้ลงไปถึงก้นแม่น้ำ)
หลงจ้าวเฟิงอยู่ในท่าทางที่สง่างาม เขาวางแผนสำหรับวันนี้มายาวนานและเขาก็ทำได้สมบูรณ์แบบในสถานการณ์เช่นนี้
"จริง ๆ แล้วเหล่าผู้มีอำนาจมากในสำนักตะวันม่วงตัดสินใจรับทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์เข้าสำนักตั้งแต่ลูกสาวข้าเกิด แต่ข้ากลับมีความคิดอันต้อยต่ำว่ายู่ซือควรจะเติบโตและมีวัยเด็กที่งดงาม ข้าไม่ต้องการให้เธอแบ่งความสนใจไปที่อย่างอื่น แต่ตอนนี้เธอสิบหกปีแล้ว ข่าวนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป"
คำพูดของหลงจ้าวเฟิงแสดงถึงความภาคภูมิใจอย่างมาก
ในความเป็นจริงแล้ว นี่จะเรียกว่าถ่อมตนได้อย่างไร ถ้านี่เรียกว่าถ่อมตนคนทั้งโลกคงไม่มีใครกล้าโอ้อวด
และเป็นหลงจ้าวเฟิงที่ไม่พูดความจริง และเขาไม่มีความกล้าพอที่จะพูดมัน
เมื่อตอนที่หลงยู่ซือเกิด มีปรากฏการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นบนท้องฟ้า มีสายรุ้งปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าว่างเปล่าและมีแสงรูปนกฟีนิกส์เต้นระบำ หลังจากนั้นนกทั้งหมดบนโลกแสดงความเคารพอย่างอ้อยอิ่ง
เป็นความจริงที่ว่าผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักตะวันม่วงได้ยินเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลก ๆ และสันนิษฐานว่าจวนมังกรทะยานที่อาณาจักรตงฟางแห่งนี้ได้ให้กำเนิดร่างฟีนิกส์สวรรค์ และตัวผู้เชี่ยวชาญนี้ไม่ได้ก้าวเท้าออกจากสำนักมาหลายร้อยปีแล้วแต่ก็ยังมุ่งตรงมาที่จวนมังกรทะยานเป็นลำแสงหนึ่งและรับลูกสาวเขาเป็นลูกศิษย์
นอกจากปรากฏการณ์แปลกที่เกิดขึ้นบนฟ้าแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรที่แสดงถึงร่างฟีนิกส์สวรรค์อีก อะไรคือร่างฟีนิกส์สวรรค์ ร่างฟีนิกส์สวรรค์คือร่างที่ถูกกำจัดสิ่งสกปรกในหยินออกจากร่างกาย ถ้าสิ่งสกปรกเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายแล้ว คนผู้นั้นจะมีอายุได้ไม่เกินสามสิบปีและไม่ว่าจะมีศักยภาพมากแค่ไหนก็เป็นได้แค่เมฆลอยไปตามลม
หลงจ้าวเฟิงเค้นสมองและทำทุกวิถีทางก่อนที่จะกำจัดสิ่งสกปรกออกจากตัวหลงยู่ซือได้ วิธีนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะร่างฟีนิกส์สวรรค์เท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั่นเองผู้อาวุโสสำนักตะวันม่วงได้ส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการให้กับหลงยู่ซือให้เริ่มไปศึกษาที่สำนักในอีกครึ่งปี
ความคิดแรกที่หลงเจ้าเฟิงคิดได้ตอนได้รับจดหมายคือต้องการที่จะป่าวประกาศในคนอื่น ๆ รับรู้ด้วย!
ไม่มีทางที่หลงจ้าวเฟิงจะไม่หาโอกาสเพิ่มสถานะของตระกูล เขาเชิญขุนนางเกือบทุกคน,เจ้าเมือง, และบางคนในราชวัง พวกเขาได้รับบัตรเชิญจากตระกูลหลงทั้งสิ้น แม้แต่องค์หญิงโจวหยู่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ณ ตอนนั้น หลงยู่ซือผู้ที่ยืนอยู่ข้างพ่อของเธอราวกับนกฟีนิกส์ เธอเปล่งประกายจนกระทั่งไม่มีใครกล้ามองเธอตรง ๆ ความขวยเขินและความภาคภูมิใจเปล่งประกายในดวงตาของเธอ
แม้แต่ขุมอำนาจอย่างสำนักตะวันม่วง ร่างฟีนิกส์สวรรค์ก็ยังเป็นร่างที่มีพรสวรรค์ที่หายากมากดังนั้นเธอมีคุณสมบัติที่จะโอ้อวด
ไป่ซานอวิ๋นและฮงเทียนตงมองไปที่หลงยู่ซืออย่างชื่นชมและปรารถนาที่จะครอบครอง
ในที่สุดเจี้ยงเฉินก็เข้าใจแล้วว่าขุนนางมังกรทะยานหมายถึงข่าวดีเรื่องไหนที่บอกในบัตรเชิญ
"ร่างฟีนิกส์สวรรค์?" เจี้ยนเฉิงค้นหาในความทรงจำและจำได้ว่าเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์แบบต่าง ๆ บนโลกแห่งการฝึกฝนพลังเต๋าของมนุษย์
แต่ในเส้นทางการฝึกฝนต่อให้มีศักยภาพมากแค่ไหนแต่ถ้าผู้ฝึกตนไม่มี วิสัยที่เหมาะสมกับการฝึกตนก็ไม่มีประโยชน์ มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับกรณีเช่นนี้
แม้แต่ ร่างฟีนิกส์สวรรค์ ก็ไม่ได้เป็นร่างที่ไม่ธรรมดาแต่อย่างใด
ในชาติก่อนเขาเคยเห็นอัจฉริยะมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่จะค่อย ๆ พัฒนาและเติบโตได้ในที่สุด?