ตอนที่ 24 เจี้ยงเฉินผู้ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
-------------------------
!!! Note #มีบางคำที่ผิดในการแปลตอนก่อนๆครับจัดทำสารบัญคำได้มากแล้วจะไม่ให้ผิดขนาดนี้อีกครับ เหยียนอี้หมิง เป็น หยานยี่หมิง / เจียงฮาน เป็น เจี้ยงหาน @TN 1/22/2017
ทายาทขุนนางตระกูลเทียนจิว เทียนจิวฉู่ ได้แสดง ดัชนีราชันย์บูรพา มันรุนแรงและเงียบงัน มันพุ่งไปอย่างแข็งแกร่ง มันดูเหมือนว่าเขาตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่แท้ ทำให้พลังของเขาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี
องค์หญิงโจวหยู่ยังคงเรียบเฉยเมื่อเห็นสิ่งนี้ และจัดอันดับไว้ที่ สูงสุดของระดับ[มีความสามารถ]
ทายาทขุนนางเต่าดำ อี้ไทชู แสดงถึงความสวยงามของกระบวนท่า ฝ่ามือเมฆาม่วง มันเป็นภาพที่สง่างามมาก มันเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนเหมือนมีมวลหมู่ดอกไม้กำลังเบ่งบานกลางพื้นดิน นี่ทำให้ความกระตือรือร้นที่จะขึ้นไปแสดงฝีมือของหนุ่มสาวส่วนใหญ่หายไปทันที
พวกเขารู้สึกว่าระยะห่างของความสามารถของพวกเขาและ อี้ไทชู มีมากเกินไป
สำหรับองค์หญิงโจวหยู่ เธอมองด้วยสายตาดีขึ้นเล็กน้อยและให้คะแนน
เริ่มต้นของระดับ [ ไร้ที่ติ ]
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้ระดับ ไร้ที่ติ จากการประเมินผลของเธอ
เราจะต้องรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับการฝึกกระบวนท่าให้ได้ระดับ สมบูรณ์แบบ
การบรรลุระดับไร้ที่ตินั้นได้ ก็หมายความว่าเขาไม่มีข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องเลยมันเป็นระดับที่แหล่งน้ำที่รอเวลาหาทางออก
ระดับต่อไปคือระดับ ความสมบูรณ์แบบ
มีเพียงอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถฝึกไปจนถึงระดับ สมบูรณ์แบบ ได้เพราะการเข้าถึงระดับนี้หมายความว่า สำหรับเทคนิคการต่อสู้นี้ผู้ฝึกจะเข้าใจถึงความพิเศษและคุณสมบัติของกระบวนท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจถึงความสามารถอันเป็นที่สุดของกระบวนท่าได้
ไป่ชานอวิ๋น ทายาทพยัคฆ์ขาวกลายเป็นหงุดหงิดทันทีเมื่อ อี้ไทชูได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับคำชมและการยกย่องมากกว่าเขา
ข้าจะแสดงให้เห็นถึง ดัชนีราชันย์บูรพา
ไป่ชานอวิ๋นอยู่ในระดับเดียวกับ หยานยี่หมิง เมื่อเขาแสดงออกถึงฝ่ามือเมฆาม่วง ความจริงเขาก็ยังคงอยู่ในระดับ มีความสามารถ เช่นเดียวกันกับจิวเทียนฉู่และยังไม่ถึงระดับ ไร้ที่ติ
แต่เขาก็มีความเข้าใจที่แตกต่าง ในการฝึกดัชนีราชันย์บูรพาเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา มันได้เกิดการพัฒนาขึ้นตามธรรมชาติด้วยความเข้าใจของเขาเอง
แม้ว่าไป่ชานอวิ๋นจะหยิ่งยโส แต่เขาก็มีพลังบางอย่างในกระแสพลังของดัชนีราชันย์บูรพา มันเหมือนกับว่านกนางแอ่นได้ซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆ หรือ ปักษาที่โผบินไปในป่า บิดเกลียวเอี้ยวตัวอย่างคล่องแคล่ว โอนอ่อนไปตามวิถีทาง มันแสดงให้เห็นถึงคำพูดที่ว่า ที่เนินเขาโค้ง ลำธาร ลม และทางเดินที่เหมือนจะสิ้นสุดในสุดปลายของความมืดยังคงมุ่งต่อไปตามทางของพฤกษาและมวลหมู่บุปผา ไปยังหมู่บ้านอื่นที่อยู่ในนั้น
(ผู้แปล. จะร้องไห้เจอสำนวน แปลยากมาก และก็แอบแปลมั่วด้วย T_T )
ภายใต้การนำทางของไป่ชานอวิ๋น เอกลักษณ์ และ แปรผัน อาจจะเป็นคำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับ ดัชนีราชันย์บูรพาของเขา แม้ว่าเขาจะยังไปไม่ถึงระดับ สมบูรณ์แบบ แต่การปรับเปลี่ยนและการพัฒนากระบวนท่าของเขานั้นก็สามารถจัดให้มันอยู่ในระดับ ไร้ที่ติ ได้
อันที่จริงจากการไตร่ตรองของเจ้าหญิงโจวหยู่ก็พิจารณาให้เป็นสุดยอดระดับ ไร้ที่ติ
ไป่ชานอวิ๋นภูมิใจเป็นอย่างมากอย่างไม่น่าเชื่อว่าเขาจะได้รับระดับสูงของระดับ ไร้ที่ติ ซึ่งมากกว่าระดับของ อี้ไทชู อกของเขาพองโตขึ้นเล็กน้อย และสายตาของเขามีความร้อนแรงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาชำเลืองมองไปยัง หลงยู่ซือ
ไป่ชานอวิ๋นยืนอยู่บนเวทีในขณะที่จิตวิญญาณของเขาได้เพิ่มพูน ราวกับว่าเขาได้เป็นแชมป์ของเวทียังไงยังงั้น เขาสำรวจดูรอบข้างเวทีอย่างถือดี ใครมีความต้องการที่จะขึ้นมาให้การสาธิตอีก?
หงเทียนทง รู้สึกว่าระดับของเขา ฝ่ามือเมฆาม่วงนั้นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่ด้วยการที่จะแข่งกับ อี้ไทชู ที่ได้ระดับเริ่มต้นของ ไร้ที่ติ ย่อมลำบากเช่นกัน เขาตัดสินใจเช่นนั้นหลังจากที่ครุ่นคิด
ไป่ชานอวิ๋น ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้นและหัวเราะเสียงดัง หลังจากที่เห็น หงเทียนทงยอมรับ สายตาของเขาก็กวาดไปจนถึงใบหน้าของเจี้ยงเฉิน
เจี้ยงเฉิน ถ้าจำไม่ผิด เจ้าบอกว่าข้าโชคดีมาก งั้นตอนนี้เจ้าย่อมฝึกศิลปะทักษะการต่อสู้ทั้งสองนี้จนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ?
ไป่ชานอวิ๋น สาแก่ใจอย่างมาก เขาได้ส่งปัญหาให้กับเจี้ยงเฉิน ตั้งแต่เขาไม่ชอบหน้าเจี้ยงเฉิน มันจะรู้สึกดีมากถ้าเขาได้ฉีกหน้ามันโดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยโอกาสเช่นนี้
บวกกับไป่ชานอวิ๋นรู้ว่าขุนนางแห่งมังกรทะยาน ต้องการที่ดินที่มีเส้นเลือดจิตวิญญาณของขุนนางเจี้ยงหาน ดังนั้นเขาอาจจะได้ใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความประทับใจเพื่อได้โอกาสพิเศษกับแม่นางยู่ซือ หากเขาสามารถจัดการเจี้ยงเฉินในที่ประชุมนี้ได้?
ไป่ชานอวิ๋น เรียกออกไปจึงทำให้เจี้ยงเฉินกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจอีกครั้ง
เจี้ยงเฉินได้ชนะหยานยี่หมิงก่อนหน้านี้ กระบวนและการต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว และหลายคนก็ไม่ได้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำพวกเขาทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เจี้ยงเฉินนับครั้งนี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่ไป่ชานอวิ๋นยั่วยุเขา เขาถ่มกระดูกไก่ที่อยู่ในปากของเขาลงบนโต๊ะ และถอนหายใจอย่างอับจน ทำไมสมองจึงขาดแคลนนักในโลกนี้? เจ้าไป๋ชานอวิ๋นถึงได้มีแต่ขี้เลื่อย จากผลงานของเจ้าในตอนนี้ ทำไมเจ้าจะต้องพยายามที่จะตบหน้าตัวเองให้ได้?
ตบหน้าตัวเอง? ไป่ชานอวิ๋นหัวเราะอย่างดื้อดึง เจี้ยงเฉิน หากเจ้าสามารถตบหน้าข้าได้ ถ้างั้นข้าไป่ชานอวิ๋นจะยืนอยู่ที่นี่ และอนุญาตให้เจ้าทำ
เจี้ยงเฉินยืนขึ้นอย่างช้า ๆ กล่าวว่าไม่มีอะไรมากมาย เขามองไปยังองค์หญิงโจวหยู่เล็กน้อย และเดินไปพร้อมกับคำใบ้ของรอยยิ้มจาง ๆ
ไป่ชานอวิ๋น เจ้าคงจะภูมิใจกับการที่ได้รับการประเมินระดับสูงของ ไร้ที่ติ ได้รับการชมเชยจากกลุ่มของผู้เข้าแข่งขัน มันจะไม่เป็นน้ำตาลเคลือบบนก้อนเค้กหรือไร ถ้าหากเจ้าพบว่าโชคไม่ดีที่มิตรของเจ้าสามารถอยู่เหนือเจ้าจะเป็นปัญหาเช่นนั้น? ในกรณีนี้ เจ้าต้องการความสวยงานอันสมบูรณ์แบบจากสายตาที่แตกต่างจากผู้คนรอบข้างใช่มั้ย? ข้าบอกเลยว่า เจ้าก็แค่เด็กไร้เดียงสา และวันหนึ่งมันจะทำให้เจ้าล้มเหลว
ล้มเหลว? ไร้เดียงสา? ไป่ชานอวิ๋นแค่นเสียงเบา เจ้าก็แค่คนไร้ค่า มีอะไรที่ดีในตัวเจ้า ไม่แม้แต่จะผ่านการทดสอบพื้นฐานทั้งสามด้วยซ้ำ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เจ้ามีสิทธิที่จะเรียกข้าว่าเป็นผู้ล้มเหลว?
มันไม่ใช่ว่าข้าเรียกเจ้าว่าเป็นผู้ล้มเหลว แล้วมันจะเป็นจริงแต่อย่างใด เจ้ามองความสวยงามอันเลิศล้ำของฟีนิกส์ แต่นางมองเจ้าเป็นเพียงหมาตัวหนึ่งบนถนน เจ้าเพียรพยายามอวดอ้างต่อหน้าข้า แต่ไม่ได้รู้เหตุผลที่จะมาประกาศตัวว่าเจ้าน่ายำเกรง เจ้าจะสามารถพูดได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนที่ล้มเหลว หากเจ้ายังไม่เข้าใจเหตุผลในการมีชีวิต และเสียเวลาในการตะเกียกตะกายในฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง?
กระบวนท่า ดัชนีราชันย์บูรพาของเจ้าได้รับชัยชนะได้รับการปรบมือและยกย่องในฐานะระดับสูงของ ไร้ที่ติ แต่เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่า ดัชนีราชันย์บูรพาของเจ้าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบและไม่มีทางที่จะมีใครสามารถเทียบเทียมได้?
ตั้งแต่ที่เจ้ากำลังโลดเต้นไปกับชัยชนะของเจ้าและคิดว่าดัชนีราชันย์บูรพาของเจ้าไร้ที่ติ ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้า ใช้ดัชนีราชันย์บูรพากับข้าด้วยทั้งหมดที่เจ้ามี และข้าจะให้เจ้าได้เข้าใจสิ่งที่หมายถึงกระบวนท่าคงกระพันที่แท้จริง!
เจี้ยงเฉินรู้จักใช้คำพูดอย่างไร้ที่ติ มันเป็นเหมือนฟ้าร้องตลอดฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่มันสร้างเมฆหมอกที่มืดครึ้มภายในนครได้ในชั่วพริบตา (ผู้แปล. วลีครับผมก็งง)
ในตอนนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในจิตใจของทุกคน เมื่อได้ฟังคำพูดของเจี้ยงเฉิน
เจี้ยงเฉิน? เจ้าท้าทายข้า? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะใช้ไข่กะเทาะหิน? ไป่ชานอวิ๋นได้รับผลกระทบอย่างสมบูรณ์ และใบหน้าของเขาในตอนนี้นั้นดูน่าหวาดหวั่น และมีความดุร้ายอยู่ในรอยยิ้มของเขา
หยุดพูดจาไร้สาระและแสดงดัชนีราชันย์บูรพาที่เจ้าได้อวดอ้างออกมาเสียที ให้ข้าทายาทหนึ่งในสี่ขุนนาง ได้เห็นว่าเจ้ามีค่าเท่าใด!
ในสายตาของผู้ชม คนหนึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นคนไม่เอาไหนในปราณแท้จริงแรกเริ่มกับเส้นชีพจรลมปราณทั้งสาม
อีกคนหนึ่งคือทายาทหนึ่งในสี่ขุนนางที่ได้รับการยอมรับจากราชอาณาจักรและอยู่ในขอบเขตปราณแท้จริงขั้นสูงกับเส้นชีพจรลมปราณทั้งแปด
ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยด้วยซ้ำ อนึ่งกล่าวได้ว่าในสถานการณ์ปกติคนที่เหนือกว่า เช่น ระดับแปดปราณแท้จริงย่อมไม่มีความสนใจที่จะทรมานคนที่อยู่ในระดับสามปราณแท้จริงอย่างแน่นอน
ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นนับได้ว่าใหญ่จนเกินไป
แต่ในตอนนี้ บุคคลผู้ที่ท้าทายเป็นหนึ่งในดินแดนแรกเริ่มของปราณแท้จริง!
เจี้ยงเฉิน มันบ้าไปแล้วรึ?
การท้าทายขอบเขตขั้นสูงของลมปราณแท้จริง เจี้ยงเฉินมันบ้าบิ่นเกินไป มันจะเป็นการส่งตัวเขาเองไปตาย!
แม้เจี้ยงเฟิงขุนนางแห่งเจี้ยงหานที่ได้อนุญาตเสมอเมื่อเจี้ยงเฉินต้องการจะทำอะไร และยังส่งเสียงเรียกออกไป เฉินเอ๋อ เจ้า....
เจี้ยงเฉินยกแขนของเขาขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าที่เยือกเย็น มันสร้างความรู้สึกที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับเขาขึ้นจึงทำให้เจี้ยงเฟิงหยุดคำพูดของเขา
ร่างกายอันสง่างามขององค์หญิงโจวหยู่สั่นไหวเล็กน้อย ในขณะนั้น เธอได้เห็นออร่าที่แปลกประหลาดในท่าทางของเขา มันเรียกว่านางไม่สามารถประมาทเขาได้!
มีคนที่ได้รับการอวยพรจากจากพระเจ้าอยู่จริง? องค์หญิงโจวหยู่ไม่สามารถหยุดความคิดของนางที่คิดเช่นนั้นได้
ไป่ชานอวิ๋นหัวเราะร่า เอาล่ะเจี้ยงเฉิน ข้าไม่ชอบเจ้าแต่ข้าก็ยอมรับว่า เจ้ายังพอมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง.
เสียงฝีเท้าของไป่ชานอวิ๋นเคลื่อนไหวเล็กน้อยเมื่อเขาเสร็จสิ้นแล้ว แปดกระแสพลังปราณแท้จริงขั้นแปดก็แผ่พลังไปทั่วร่างกายของเขาทันที พวกมันกระจายพลังอย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนว่ามันจะระเหยออกจากร่างกายเขาคล้ายรัศมีพลังสีม่วงแห่งเทพเจ้า
รัตตะม่วงบูรพา! เขากระทั่งเหนือกว่าระดับแปดปราณแท้จริงธรรมดา! อัจฉริยะ!
เจี้ยงเฉินยังคงยืนอยู่กับที่ดวงตาเขายังคงปิดสนิท เขาเหมือนดั่งผู้เฒ่าบรรลุที่เข้าฌาน
ท่าทางที่สูญเปล่า มันขึ้นอยู่กับเวลาที่จะจบสิ่งนี้! ไป่ชานอวิ๋น คำรามเสียงต่ำในขณะที่เขายกขาทั้งสองของเขาขึ้นจากพื้นดิน ปราณสีม่วงไหลไปทั่วร่างกายของเขามันเปล่งประกายไปในอากาศ เป็นเหมือนกับรัศมีพลังสีม่วงของพระเจ้าที่เปล่งประกายเป็นปีกสองข้างบนหลังของเขา จึงส่งเขาขึ้นไปบนอากาศ
การไหลเวียนของปราณม่วง ใช้พลังของปราณแท้จริง เปลวเพลิงและอัสนีดูคล้ายจะคดเคี้ยวอยู่รอบปลายนิ้วของ ไป่ชานอวิ๋น เป็นคำใบ้ที่คลุมเครือเกี่ยวกับการก่อตัวของพลังปราณม่วง ทำให้พวกเขาประหลาดใจในอำนาจความกดดันนี้
ศาสตราม่วง!
ไป่ชานอวิ๋นรวบรวมสมาธิของเขา พลังปราณของเขาเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า วูชชช! วู่มมมม!
พลังปราณที่แข็งแกร่งแทบดูเหมือนจะบิดเบือนกฎ ขณะที่มันเกิดขึ้นได้มีกระแสพลังที่มีรูปร่างที่แปลกประหลาดพุ่งไปยังเจี้ยงเฉิน
ดัชนีดาวหางเบิกอรุณ!
ลมปราณม่วงทำให้การมองการเคลื่อนไหวของไป่ชานอวิ๋นเป็นเรื่องที่ยาก ไอปราณปกคลุมไปทั่วเวทีในชั่วพริบตา ดั้งเช่นห่าฝนที่โปรยปรายเป็นสะเก็ดดาว ล็อคเข้าสู่พื้นที่ในรัศมี 100 เมตร ครอบคลุมไปทั่วเวที
เชื่องช้า!
เจี้ยงเฉินขยับเท้าของเขาในขณะที่ไป่ชานอวิ๋นเริ่มเปิดใช้งานทักษะของเขา ร่องรอยของการเยาะเย้ยปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของเจี้ยงเฉิน ข้าขอแขนขวาของเจ้าก็แล้วกัน!
วูซซซซซซซซ!
ไป่ชานอวิ๋นรับรู้ได้การโจมตีจากทิศทางเสียงของลม แต่ในขณะนั้นมันก็ได้เจาะทะลุแขนขวาของเขาไปแล้ว เมื่อเขาได้ยินเสียงของเจี้ยงเฉิน
เข่าซ้าย!
ยังคงเป็นจุดที่ตรงกับเสียง ไป่ชานอวิ๋นไม่มีเวลามากพอที่จะตอบสนองก่อนความเจ็บปวดที่ทำให้ขาของเกิดอาการชาจนกระจายไปทั่วขาของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ
บัดซบ! ไป่ชานอวิ๋นสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่สามารถหลบหลีกได้ในเมื่อเขาได้ยินเสียงของฝั่งตรงข้ามและรู้ว่า การโจมตีจะมาจากทางไหน
และพลังของอีกฝ่ายนั้นอ่อนโยนจนแทบจะเรียกได้ว่าอ่อนแอ!
ซี่โครงที่สามด้านซ้าย!
ไหล่ขวา!
ข้อเท้าซ้าย!
มันเป็นเหมือนกับว่าเจี้ยงเฉินได้ท่องข้อมูลในตำราอย่างเรียบง่าย การแทงของเขาถึงไป่ชานอวิ๋นเมื่อใดก็ตามที่เขาเอ่ยชื่อส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ละการแทงของเจี้ยงเฉินนั้นพิสดารมาก มันเป็นท่าที่ไร้ตัวตน และไร้ร่องรอยอย่างสมบูรณ์
ไป่ชานอวิ๋น ตะเกียนตะกายไปรอบ ๆ เวทีด้วยความหวาดหวั่นเมื่อใดก็ตามที่เจี้ยงเฉินประกาศจุดต่อไปมันทำให้เขาหวาดกลัว แต่เขาจะไม่มีวันชนะหากเขามัวแต่หลบหลีก
ไป่ชานอวิ๋นแทบจะกระอักเลือดด้วยความโทสะ
ในแง่ของการควบคุมพลังเขารู้สึกว่าเขาเหนือกว่าเจี้ยงเฉินนับสิบเท่า ในแง่ของร่างกายเขาก็อยู่ในระดับสูงในด้านอื่น ๆ ก็เช่นกัน แม้แต่กับองค์หญิงโจวหยู่ที่เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อแงอย่างสูงในระดับการฝึกของนาง
แต่เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่สามารถไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของเขาในการตอบโต้เจี้ยงเฉินได้เลย และเขาทำได้เพียงเป็นเป้านิ่งของการจู่โจมจากเมื่อต้องเผชิญกับผู้ที่อยู่ในระดับปราณแรกเริ่ม
มันเป็นเหมือนกับว่าเจี้ยงเฉินสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของเขาล่วงหน้าได้ไปอยู่ก่อนหน้าเขาเสมอ แม้ว่าเจี้ยงเฉินจะไม่ได้เคลื่อนที่ได้ไวก็ตาม
ไป่ชานอวิ๋นยิ่งสิ้นท่ามากขึ้นเรื่อย ๆ จากการต่อสู้ แต่ต้องยอมรับว่า ถ้าในเวลาเท่ากันหากเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากนี้ ด้วยการควบคุมพลังที่มากขึ้นกว่านี้เพียงนิดเขาคงจะโดนทุบลงพื้นไปหลายครั้งแล้ว
เจี้ยงเฉินจู่ ๆ ก็ตะโกนว่า หยุด ในระหว่างการโจมตี และก้าวถอยไปด้านข้าง เขาหมุนเวียนพลังปราณและแทงเข้าไปยิงก้อนหินที่อยู่ข้าง ๆ เขา
ก้อนหินเมื่อได้รับการโจมตี มันได้เป็นรูโหว่ทันที
ไป่ชานอวิ๋นจะเป็นเช่นไร หากข้าใช้พลังนี้ในการโจมตีเจ้า?
ไป่ชานอวิ๋น ตกตะลึงในทันทีสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่มันทำให้เขารู้สึกหมดหนทางจะต่อสู้ มันน่าเหลือเชื่อในตอนนี้เขาคิดว่าที่มันเป็นแบบนี้เพราะว่าเขาไม่สามารถใช้พลังความแข็งแกร่งของเขาได้
แต่ตอนนี้้เขารู้สึกว่าทั่วแผ่นหลังของเขามีเหงื่อเย็นเยียบ หลังจากที่เขาได้ตระหนักว่าเจี้ยงเฉินไม่ใช่ว่าขาดพลังปราณแต่เขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาต่างหาก
มิเช่นนั้นเขาอาจจะลงไปนอนจมกองเลือดตั้งแต่กระบวนท่าแรกแล้ว!
ผู้คนที่มองดูการต่อสู้นั้น รับรู้ได้อย่างกะทันหันแล้วว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว ตอนนี้ในดวงตาของพวกเขาเกิดความตะลึงในขณะที่พวกเขามองไปที่เจี้ยงเฉิน