ตอนที่ 29 ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของหลายฝ่าย
-------------------------
เฉี่ยวไป่ฉีถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากเห็นทัศนคติที่ชัดเจนของซ่งเทียนซิง จริง ๆ แล้วเขาค่อนข้างเครียดจากการตัดสินใจเมื่อเร็ว ๆ นี้ของเขา นี่แทบจะต้องใช้ความกล้าหาญทั้งหมดของเขา
เขาจะสามารถพูดได้ว่าทัศนคติของเขาถูกต้องหรือเปล่าต้องขึ้นอยู่กับทัศนคติของจ้าวหอโอสถเท่านั้น
"ลำดับสาม ท่านต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหนุ่มเจี้ยงเฉินไว้ อีกไม่นานดูเหมือนว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่สำคัญเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดา ควรค่าแก่การจับตามองมาก"
ซ่งเทียนซิงไม่เคยพบเจี้ยงเฉินมาก่อนแต่ก็สามารถสรุปข้อสรุปที่น่าตกใจเช่นนี้ออกมาได้จากข้อมูลรายละเอียดจำนวนมากที่เขาได้รับ
แม้แต่คนที่มักจะสงบนิ่งอย่างหัวหน้าหอลำดับสอง เยว่ฉินก็อดอุทานโดยไม่ได้ตั้งใจได้ว่า "ท่านจ้าวหอ ไม่ใช่ว่าประเมินค่าเจี้ยงเฉินไว้มากเกินไปหน่อยหรือ?"
ซ่งเทียนซิงยิ้มบาง "ข้าเคยพบเจี้ยงเฉินแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยพบเจี้ยงเฟิงขุนนางแห่งเจี้ยงหาน ถ้าหากแหล่งที่มาของของที่ไม่คาดคิดจะมาจากสองพ่อลูกนี้ เงินก็คงตกลงแก่เจี้ยงเฉินไม่ใช่เจี้ยงเฟิง"
เฉี่ยวไป่ฉีขยับตัวอย่างอึดอัด เขารู้ว่าตำแหน่งของจ้าวหอนั้นสูงส่ง ทัศนคติของเขาก็กว้างไกล มีอำนาจหนุนหลังไม่ใช่น้อย เขาไม่คิดว่าจ้าวหอจะตัดสินคนผิด
เขาไม่เคยเจอใครที่เด็กขนาดนี้แต่ทำให้จ้าวหอเอ่ยปากชมได้ เฉี่ยวไป่ฉียินดีมากขึ้นที่เขาเลือกในเส้นทางที่ถูกต้อง
"หึหึ ข้าผู้เฒ่าเยว่ชื่นชมสายตากว้างไกลของจ้าวหอมาตลอด แต่อย่างไรก็ตามครั้งนี้ข้าสงสัยว่าท่านจ้าวหออาจจะคาดเดาผิดหรือเปล่า?" เยว่ฉินหัวเราะในลำคอ ด้วยตำแหน่งและสถานะของเขา ไม่มากเกินไปเลยที่จะหยอกล้อบ้างนิดหน่อย
การประชุมผู้อาวุโสจบลงด้วยข้อสรุปของจ้าวหอโอสถ
ซ่งเทียนซิงดึงเฉี่ยวไป่ฉีมาที่ส่วนรับรองแขกกิตติมศักดิ์และตบไหล่ของเฉี่ยวไป่ฉีเบา ๆ "ไป่ฉี เจ้ามีความกล้าหาญไม่น้อย ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก"
แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นจ้าวหอโอสถและคนหนึ่งเป็นหัวหน้าหอลำดับสาม ทั้งอายุและประสบการณ์รวมถึงระดับและตำแหน่งในหอโอสถก็พอ ๆ กัน แต่ว่าซ่งเทียนซิงได้วางตัวเฉี่ยวไป่ฉีไว้เป็นผู้สืบทอดของตน
เฉี่ยวไป่ฉียินดีอย่างมากและรีบพูดยกย่องจ้าวหออีกหลายคำ
"ไป่ฉี เจ้าต้องไม่ดูถูกเจี้ยงเฉิน และเจ้าได้สังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ เจี้ยงเฉินอย่างระมัดระวังหรือเปล่า?"
"ท่านจ้าวหอมีสายตาแหลมคม" เฉี่ยวไป่ฉีถ่อมตนเล็กน้อย
"อย่างแรก เด็กนี่ถูกตัดสินให้โบยตีจนตายจากงานขอพรจากสวรรค์ แต่ทำไมเขากลับรอดชีวิตได้?
อย่างที่สอง องค์ราชาลงโทษเด็กนี่ แต่ทำไมองค์ราชาถึงให้เหรียญสลักมังกรแก่เขา?
อย่างที่สาม เด็กนี่เป็นแค่บุตรชายขุนนางคนหนึ่ง แต่เขานำสูตรยาโบราณ ยาชะตาสวรรค์มาเมื่อไหร่?
สี่ พื้นฐานพลังเต๋าของเขาแค่ด่านทดสอบย่อยสามด่านยังไม่ผ่านเลย แต่ทำไมเขาเอาชนะหยานยี่หมิงได้ในหนึ่งกระบวนท่า และหลังจากนั้นเขาใช้ความพยายามน้อยมากในการเอาชนะไป่ซานอวิ๋น?
ห้า ทำไมองค์หญิงทั้งสองพระองค์ถึงสนิทสนมคุ้นเคยกันดีกับเจี้ยงเฉิน?
หก เด็กนี่ไม่กลัวขุนนางมังกรทะยานเลย และไม่กลัวอัจฉริยะมากมายในที่แห่งนั้นด้วย การแสดงออกของเขาไม่เหมือนกับเด็ก ๆ แล้วเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?"
การแสดงออกทางอารมณ์ของเฉี่ยวไป่ฉีเคร่งเครียดขึ้น หลังจากที่ซ่งเทียนซิงชี้ให้เห็นถึงจุดที่แปลกประหลาด เขามองข้ามจุดสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไป แต่การพิจารณาของเขาในจุดนั้น ๆ ก็ยังไม่สามารถดีเทียบเท่ากับจ้าวหอโอสถได้
ทันใดนั้นเฉี่ยวไป่ฉีก็หาจุดเชื่อมต่อจากคำใบ้เล็ก ๆ น้อย ๆ ของซ่งเทียนซิงได้ เขาอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ "อย่าบอกนะว่าตระกูลเจี้ยงได้อำนาจหนุนหลังจากองค์ราชา? แกล้งทำเป็นพ่ายแพ้แล้วค่อยทำลายฝ่ายตรงข้ามในทีเดียว? พ่อลูกคู่นี้เคลื่อนไหวภายใต้องค์ราชา? เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเป็นตัวเบี้ยที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้?"
ซ่งเทียนซิงตั้งข้อสังเกตว่า "ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเหตุผลนี้ เจ้าคิดว่ามีเหตุผลใดอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้?"
จากการที่ถูกโบยตีแต่ไม่ตาย เรื่องนี้ถูกพูดถึงจากหลาย ๆ คน มันไม่ใช่ความลับเลย แต่องค์ราชากลับไม่ทำอะไร เขาไม่มีความสามารถที่จะฆ่าเจ้าเด็กนั่นให้ตายเลยหรือ?
"ไม่ต้องสงสัยเลย ๆ" เฉี่ยวไป่ฉีพลันคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่แย่งชิงหญ้าไขกระดูกมังกรจรัสแสงกัน ไม่ใช่ว่าเจี้ยงเฉินได้บอกเขาว่า เขาตัดสินใจถูกแล้ว? ไม่ใช่ว่าเจี้ยงเฉินบอกเขาว่าหญ้าไขกระดูกมังกรจรัสแสงถูกซื้อเพื่อใช้กับราชวงศ์?
เฉี่ยวไป่ฉีรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของหญ้าไขกระดูกมังกรจรัสแสงจากเจ้าหญิงจื่อยั่วที่งานเลี้ยงวันเกิดขุนนางหลง
ยืนยันได้แน่นอนว่าหญ้าไขกระดูกมังกรจรัสแสงถูกซื้อเพื่อใช้กับราชวงศ์ และเจี้ยงเฉินไม่ได้พูดวางโตเกี่ยวกับเรื่องนี้
เฉี่ยวไป่ฉีมั่นใจมากขึ้นจากข้อสรุปของซ่งเทียนซิง เมื่อมาคิดถึงจุดนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซ่งเทียนซิงสามารถสรุปมันจากข้อมูลทุก ๆ ด้าน ไม่มีคำอธิบายใดสามารถอธิบายได้ ถ้าตระกูลเจี้ยงไม่ได้มีข้อตกลงกับราชวงศ์เมื่อนานมากแล้ว และด้วยสถานะขององค์หญิงโจวหยู่เธอจะไม่สามารถมองทะลุผ่านวรยุทธ์และพลังเต๋าของเด็กคนหนึ่งได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้การแสดงความสามารถของเจี้ยงเฉินในการกลบความโดดเด่นของร่างฟีนิกส์สวรรค์ของหลงยู่ซือ
"ไป่ฉี ถ้าตระกูลเจี้ยงเคลื่อนไหวภายใต้ราชวงศ์มานานมากแล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? มันหมายความว่าราชวงศ์เริ่มเตรียมตัวมานานแล้ว ขุนนางมังกรทะยานมีความทะเยอทะยานสูง อำนาจของเขามากขึ้น ๆ ทุก ๆ วัน ด้านหนึ่งมีการเตรียมตัวมานาน อีกด้านไม่ปกปิดความทะเยอทะยานเลย ถ้าทั้งสองด้านปะทะกันขึ้นมา อย่างสัตย์จริง ข้าไม่กล้าลงพนันด้านขุนนางหลง นอกจาก..." ซ่งเทียนซิงหยุดไว้ที่ตรงนี้ ชัดเจนว่าความเป็นไปได้หลังคำว่า "นอกจาก" ทำให้เขากลัวที่จะพูดออกมา ราวกับมันเป็นเรื่องต้องห้าม
"นอกจากอะไรหรือ?" เฉี่ยวไป่ฉิงอดไม่ได้ที่จะถาม
"นอกจากจะมีสำนักที่มีอำนาจเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ อย่างไรก็ตามสำนักแบบนั้นไม่ลดตัวลงมามีปัญหากับอาณาจักรธรรมดา ๆ อาณาจักรหนึ่ง นอกจากนี้ราชวงศ์ตงฟางก็ควบคุมประเทศนี้มาอย่างน้อยหนึ่งพันปี มีมรดกและความมั่งคั่งมากมายจากบรรพบุรุษ ขุนนางหลงไม่มีทางได้เปรียบ ในทางกลับกันก็ไม่เห็นเกิดประโยชน์อันใดกับหลงยู่ซือ ถ้าขุนนางหลงและราชวงศ์สู้กัน?
นอกจากนี้ ไม่ต้องมองถึงผลประโยชน์จากการเมือง การตัดสินใจของเจ้าในวันนี้ฉลาดมาก!"
ซ่งเทียนซิงชมเฉี่ยวไป่ฉีอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าคืนนี้จะมีคนไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้ว ในส่วนลึกของพระราชวัง
ข่าวจากองค์หญิงโจวหยู่ทำให้ราชาตงฟางลู่จมอยู่ในห้วงความคิด
"ท่านพี่ ขุนนางมังกรทะยานไม่ปกปิดความทะเยอทะยานของเขาอีกต่อไป" องค์หญิงโจวหยู่เป็นคนเดียวที่กล้าพูดกับราชาเช่นนี้
"มันทำให้เข้าใจได้ว่าเขาเบื่อกับตำแหน่งขุนนางอันดับหนึ่งมานานแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องการก้าวหน้าขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง" น้ำเสียงของราชาตงฟางลู่สงบนิ่ง แต่ก็จับสัมผัสได้ถึงรังสีสังหาร
"โชคดีที่วันนี้เขาต้องการจะบังคับคนหนังเหนียวดื้อด้านแบบเจี้ยงเฟิง ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นขุนนางคนอื่นที่ทำตัวเป็นไผ่ลู่ลมตามกระแสไปเรื่อย ๆ ต้องยอมจำนนต่อเขาแน่ ๆ "
องค์หญิงโจวหยู่ค่อนข้างไม่ชอบใจขุนนางมังกรทะยานคนนี้มาก ๆ เธอเกือบจะระเบิดออกมาเมื่อนึกถึงว่าเขาพยายามจะกดดันขุนนางคนอื่น ๆ ต่อหน้าคนในราชวงศ์ มันเหมือนเป็นแค่การกระทบกระทั่งกันระหว่างขุนนาง แต่จริง ๆ แล้วต้องการหักหน้าราชวงศ์
ราชาลู่ถอนหายใจเบา ๆ "ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว ใครจะคิดว่าไม่กี่วันมานี่ ตระกูลเจี้ยงขุนนางของข้าจะมีโชคที่ดีกัน?"
ราชาลู่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในเมืองหลวงขณะนี้ "บางทีขั้วอำนาจต่าง ๆ อาจจะคิดว่าตระกูลเจี้ยงอยู่ฝั่งราชวงศ์ และคิดว่าข้าเริ่มเคลื่อนไหวมานานแล้ว?"
องค์หญิงโจวหยู่เองก็หัวเราะและยิ้ม "โจวหยู่ก็คิดเช่นนั้น ถ้าข้าไม่รู้เรื่องราวภายใน"
"เจ้าคิดไหมว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและเชื่อมต่อกันเหมือนเงา?"
"เจี้ยงเฉิน?" ตาที่งดงามของเจ้าหญิงโจวหยู่กระตุกเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่พูด
"เจ้าค้นพบมันเช่นกันหรือ น้องสาว?" ราชาตงฟางลู่ยิ้มอย่างมีความหมาย
ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันก็ยิ่งพบว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนสืบเนื่องมาจากการแสดงออกของเจี้ยงเฉินหลังจากงานขอพรทั้งสิ้น แม้แต่สถานการณ์ในขณะนี้ก็ผูกติดอยู่กับเงาของชายผู้นั้น
"ข้าเชื่อในพระเจ้าอยู่เสมอแม้กระทั่งในฝัน แต่หลังจากคืนนี้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่า เด็กนั่นแค่ยืมนามของพระเจ้ามาขู่ขวัญเฉย ๆ ตั้งแต่แรกเริ่มเลยหรือเปล่า?"
จริง ๆ แล้วราชาตงฟางลู่ค่อนข้างปวดหัว เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้
ตามจริงแล้ว ทายาทของขุนนางไม่ควรจะลึกลับขนาดนั้น โดนโบยตีแต่ไม่ตาย หาสาเหตุของโรคที่จื่อยั่วเป็นเจอ รับมือกับเรื่องต่าง ๆ ในหอโอสถได้เป็นอย่างดี เอาชนะศัตรูที่อยู่ในขั้นลมปราณชั้นสูงทั้งที่ตนเองอยู่แค่ขั้นเริ่มต้น..
หลายสถานการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับคน ๆ เดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าไม่มีความลับอะไรในตัวเด็กคนนี้— ไม่มีทางที่ราชาตงฟางลู่จะเชื่อง่าย ๆ
แน่นอนว่า ในฐานะผู้ปกครองของอาณาจักรนี้ ไม่มีทางที่เขาจะค้นหาเรื่องเล็ก ๆ นี่ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
หลังจากนั้นไม่เพียงแต่ราชาตงฟางหลู่จะหลีกเลี่ยงและไม่ให้ความสำคัญกับตระกูลเจี้ยงหลี เลี่ยงการปะทะกับขุนนางหลง แต่เขาจะหนุนหลังพวกนั้นเพื่อให้ไปคานอำนาจกับขุนนางหลงแทน และให้รางวัลกับพวกนั้นด้วย!
"โจวหยู่ พรุ่งนี้ไปเยือนจวนเจี้ยงหานในนามของข้า"
การไปที่จวนเจี้ยงหานเป็นการให้รางวัลพ่อลูกตระกูลเจี้ยง นอกจากนี้เธอยังสามารถประกาศความตั้งใจไปในคราวเดียวกันว่าจะนำตระกูลเจี้ยงไปไว้ใต้ปีกของพวกเขา
นี่เป็นความพยายามของราชาตงฟางลู่ที่พยายามจะรวมอำนาจเข้าด้วยกัน
"นอกจากนี้ เจ้ายังต้องรับประกันว่าเจี้ยงเฉินจะผ่านการทดสอบมังกรซ่อน" ราชาตงฟางหลู่ขบคิดอย่างละเอียดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ เขาคิดแค่ว่าให้เจี้ยงเฉิงรักษาองค์หญิงจื่อยั่วได้ก็พอ เขาไม่ได้สนใจว่าตระกูลเจี้ยงจะสูญเสียสถานะขุนนางหรือไม่ ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงด้วยความมั่งคั่งแต่ไม่มีอำนาจเป็นประโยชน์กับอาการป่วยขององค์หญิงจื่อยั่วมากกว่า
แต่หลังจากเหตุการณ์คืนนี้ ความสำคัญของพ่อลูกตระกูลเจี้ยงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าทันที ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องตระกูลเจี้ยงจะเก็บสถานะขุนนางไว้ได้หรือไม่จะเกิดผลกระทบกับสถานการณ์โดยรวมทันที
ถ้าตระกูลเจี้ยงเสียตำแหน่งขุนนาง มันเป็นไปได้ที่ตระกูลมังกรทะยานจะรวบผืนดินสำหรับใช้เพาะปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
นี่เป็นสิ่งที่ราชาตงฟางหลู่ไม่อยากเห็นมากที่สุด
ความจริงที่ว่าขุนนางไม่สามารถยึดดินแดนของขุนนางผู้อื่นตามใจชอบยังสามารถทำให้ราชวงศ์ควบคุมอำนาจของขุนนางได้
และการที่ตระกูลเจี้ยงยืนยันจะต่อสู้กับขุนนางมังกรทะยานให้ตายไปข้างหนึ่ง เป็นการทำให้การบริหารอาณาจักรตงฟางของราชาตงฟางลู่ง่ายขึ้นทางอ้อม!
ดังนั้นสถานะขุนนางของตระกูลเจี้ยงต้องถูกรักษาไว้!