ตอนที่ 33 : จบการทดสอบ การเปิดใจของเหล่าพี่น้อง
-------------------------
จำนวนเวลาที่ให้มากจนเกินพอดีกับการทดสอบนี้แต่ยังไงเจี้ยงเฉินก็ไม่กังวลอยู่แล้ว การทดสอบรอบนี้มันไม่ต่างอะไรกับสวนหลังบ้านสำหรับเขาเลย ด้วยความรู้ทั้งหมดที่เขาได้อ่านสะสมมาเป็นเวลากว่าหลายล้านปีในชีวิตที่แล้ว เขาได้พัฒนาความจำของเขาจนเกือบจะเข้าขั้นอ่านแล้วจำได้เลยเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น พวกสิ่งที่ต้องจำเพียงเล็กน้อยอย่างนี้นั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด
เขาเขียนชื่อของเขาลงไปและเริ่มที่จะตอบคำถามที่อยู่ในกระดาษ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา คำถามที่เกี่ยวกับการใช้ความจำได้ถูกตอบจนหมดสิ้น
คำถามสร้างสรรค์เป็นคำถามต่อไป คำถามส่วนนี้นั้นจะมีความยืดหยุ่นและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์ของเจี้ยงเฉิน คำถามเหล่านี้ดูด้อยเหมือนเป็นเพียงเรื่องง่ายๆสำหรับเขา อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงตอบคำถามอย่างจริงจังเหมือนเดิม
ถึงแม้ว่าคำถามเหล่านี้จะดูพื้นๆไปสักหน่อย แต่ก็คงไม่ทำให้คำตอบของเขาดูลึกซึ้งเกินไป ด้วยความรู้ทางทฤษฎีของอาณาจักรตะวันออกก็น่าจะสามารถมองคำตอบที่ซับซ้อนนี้ได้
ด้วยความรู้ของเจี้ยงเฉินแล้ว ถ้าเขาตอบคำถามได้ลึกซึ้งเกินไป มันก็จะไม่ต่างอะไรกับยื่นกระดาษเปล่าไปส่ง
อะไรที่มันลึกซึ้งเกินไปก็จะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้... แล้วมันจะแตกต่างอะไรกับคำตอบที่ไร้สาระกัน?
ดังนั้น เจี้ยงเฉินจึงใช้สมองของเขานึกไปถึงพื้นฐานความรู้ของโลกใบนี้และเนื้อหาเบื้องลึกบางส่วน
คำตอบที่ตอบไปนั้น ที่จริงแล้วนับว่าเป็นความรู้ที่ด้อยมากนับจากความรู้ของเขา แต่เจี้ยงเฉินก็ยังคงกังวลเล็กน้อยว่าถ้าเขาเผลอตอบแบบนอกกรอบไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นในภายหลังก็เป็นได้
ดังนั้นเขาจึงต้องคอยเช็คคำตอบของเขาเอาไว้ เขาพยายามตอบให้มีความสร้างสรรค์อยู่ในระดับของความรู้ของอาณาจักรตะวันออก
การทำแบบนี้ก็เหมือนกับการเพิ่มงานให้กับตัวเขาเอง เขาตรวจเช็คกระดาษคำตอบหลังจากเวลาผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง และผลลัพธ์นั้นไร้ที่ติ เขาจึงยื่นกระดาษส่งไป
ผู้คุมสอบผู้รับผิดชอบการสอบนี้เริ่มผนึกกระดาษคำตอบของเจี้ยงเฉินลงในกล่องตามกฎ
เจี้ยงเฉิน การสอบนี้นั้นจะถูกตรวจสอบโดยเหล่าเจ้าหน้าที่อาวุโสและจัดลำดับโดยเจ้าหน้าที่จากสาขาวิชาต่างๆ เจ้าเข้าใจหรือไม่?
มันมีกฎอย่างนั้นจริงๆและเจี้ยงเฉินก็ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ เขาจึงพยักหน้ารับแบบส่งๆ
ไม่ว่าใครจะเป็นคนจัดลำดับ การทดสอบนี้ก็สมควรจะผ่านเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว เจี้ยงเฉินมั่นใจกับเรื่องนี้มาก
เมื่อเขาสอบการทดสอบพื้นฐานทั้งสามเสร็จก็กลายเป็นช่วงค่ำเสียแล้ว เจ้าอ้วนซวนรีบวิ่งมาหาเจี้ยงเฉิน ด้วยร่างกายและน้ำหนักของเขา มันเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะไล่ตามเจี้ยงเฉินให้ทัน
เจ้าอ้วนซวนหอบอย่างหนักหลังจากเดินมาเพียงระยะทางสั้นๆ พี่เฉิน รอน้องชายของท่านด้วย!
พี่เฉิน ข้าได้จองโต๊ะไว้ที่ โรงเตี๊ยมสารทกระเรียนเพื่อฉลองที่ท่านสามารถผ่านการทดสอบพื้นฐาน ข้ารู้มานานแล้วว่าพี่เฉินนั้นเป็นหมาป่าในคราบแกะ ที่ท่านไม่ผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้ก็เผื่อจะตบตาให้คนอื่นเห็นว่าท่านดูอ่อนแอ หึ ช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมนัก!
เจ้าอ้วนซวนกล่าวคำพูดออกมาราวกับกระแสน้ำที่รุนแรง เขากล่าวออกมาอย่างไม่ขัดเขินเลยแม้แต่น้อยในการกล่าวเช่นนั้น
ไม่ต้องไปที่ โรงเตี๊ยมสารทกระเรียนหรอก เจี้ยงเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบาแล้วคิดอยู่สักครู่หนึ่ง และเขาก็ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเจ้าอ้วนซวนและหูปิงเย่ว คืนนี้มารวมกันที่บ้านของข้าแทนละกัน
หูปิงเย่วพยักหน้า ใช่แล้ว พี่เฉินทำถูกแล้ว ตาแก่ของข้าก็บอกมาว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองหลวงมากเกินไป เราควรหลีกเลี่ยงการไปสถานที่เช่น โรงเตี๊ยมสารทกระเรียน
ฮี่ ฮี่ ถ้าพี่เฉินบอกว่าไม่ไป พวกเราก็ไม่ไป นอกจากนี้แล้ว การไปที่คฤหาสน์พี่เฉินก็เหมือนกับการสังสรรค์สำหรับพวกเราพี่น้อง ใช่ไหม? เจ้าอ้วนซวนเป็นคนสบายๆและคล้อยตามกว่าที่คิดแทนที่จะแย้งหรือดันทุรังทำอะไรสักอย่าง
สำหรับข้ารับใช้ส่วนตัวแล้ว นี่เป็นเวลาที่เจี้ยงเฉิงจะได้ส่องสว่าง เขารีบพูดทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเจี้ยงเฉิน ข้ารับใช้ของท่านจะรีบกลับบ้านไปเตรียมการให้ขอรับ
เจ้าอ้วนซวนและพวกเขาที่เหลือต่างผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขามาถึงคฤหาสน์ของขุนนางเจี้ยงหาน
นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เจี้ยงเฉินได้เดินด้วยกันกับเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่เขามาถึงยังโลกใบนี้ เขารู้สึกอารมณ์ดีแถมเขายังเป็นผู้ฟังที่ดี ที่คอยฟังเจ้าอ้วนซวนและคนอื่นๆพูดคุยถึงเรื่องราวทั้งหมด
พี่เฉิน ไม่ใช่ว่าท่านกล่าวว่าเจ้าหยางซ่งมันเป็นคนขี้ขลาด? การที่คิดว่าท่านตอบแทนเขากลับไป เขาก็ได้รับผลกระทบจากความกลัวและกลายเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหลังจากท่านเปลี่ยนไป เขาก็กลัวหัวหดและไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเรา ดูเหมือนว่าเจ้าบ้านั่นมันไม่น่าเชื่อถือเลย การที่ข้าเคยปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นพี่น้องมาก่อน ช่างน่าผิดหวังเสียจริง!
เจ้าอ้วนซวนรู้สึกอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าหยางซ่งได้รับ
ในอีกทางด้านหนึ่ง เจี้ยงเฉินได้หัวเราะออกมาและเลือกที่จะเมินเรื่องดังกล่าว ทุกคนต่างมีเป้าหมายของตัวเอง หยางซ่งได้เลือกผลประโยชน์แทนที่จะเลือกพี่น้องของเขา เขาเป็นคนเลือกเอง
ดังนั้นเจี้ยงเฉินจึงไม่นำชื่อหยางซ่งมาจำให้เปลืองสมองเลย
เมื่อเจ้าอ้วนซวนเอ่ยถึงหยางซ่งแล้วเห็นว่าเจี้ยงเฉินนั้นไม่ร่วมด้วย เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเป็นเรื่องการทดสอบมังกรซ่อน
พี่เฉิน ท่านมีเป้าหมายอะไรในการทดสอบที่จะมาถึงนี้หรือเปล่า? เจ้าอ้วนซวนได้ดื่มมากไปหน่อยทำให้เขาเผลอพูดอะไรที่ไม่ดีออกไป
เป้าหมายอะไรล่ะ? เจี้ยงเฉินยิ้ม
พี่เฉิน ข้าอ้วนซวนเป็นพวกดื้อดึง ข้าไม่ค่อยชอบพวกขุนนางพวกนั้นสักเท่าไหร่ ข้ารู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่กับพี่เฉินมากกว่า ถ้าพี่เฉินสามารถที่จะขึ้นอย่างผู้มีชัยได้ล่ะก็ ข้าก็จะสามารถยิ้มได้แม้จะเป็นเพียงความฝันก็ตาม พี่เฉิน ข้าหวังว่าท่านจะเล็งตำแหน่งไว้สูงๆนะ!
และแน่นอนพี่เฉิน เจ้าไป้ชานอวิ๋นมันก็แค่นั้น ท่านนั้นมีพรสวรรค์เพียงพอที่จะขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งหนึ่งในสี่ขุนนางชั้นนำเสียด้วยซ้ำ หูปิงเย่วเองก็เช่นเดียวกัน เขายังคงตื่นเต้นไม่หายกับการโชว์ความสามารถของเจี้ยงเฉินในคืนนั้น
สี่ขุนนางชั้นนำงั้นหรือ? เจี้ยงเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบาแล้วก็ยิ้มขึ้น สี่ขุนนางชั้นนำก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของข้า
หา? พี่เฉิน อะไรคือเป้าหมายของท่านกันล่ะ? แค่ท่านขึ้นไปติดสิบอันดับได้ก็น่าจะดีแล้วงั้นหรือ หูปิงเย่วกล่าว
หูปิงเย่ว นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร? ถึงแม้ว่าเจ้าอ้วนซวนยังคงเมาอยู่ แต่สติของเขายังคงปกติ ด้วยความที่เขาอยู่กับเจี้ยงเฉินมานาน น้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้สื่อว่าเขาไม่สามารถขึ้นไปอยู่เป็นหนึ่งในสี่ขุนนางชั้นนำ แต่หมายความว่าเขาไม่ลดตัวลงไป!
หลังจากที่เขาได้ลองคิดดูแล้ว ร่างกายของเจ้าอ้วนซวนก็เริ่มสั่น สติของเขากลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม นัยน์ตาของเขาเปิดออกราวกับมีไฟอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา
พี่เฉิน เป็นไปได้ว่าเป้าหมายของท่านคือราชวงศ์ตะวันออก? ฮ่าฮ่า นั่นเป็นพี่เฉินของข้าไม่ผิดแน่! เป็นเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมและซื่อตรงมาก!
เจ้าอ้วนซวนเองก็มีความเป็นเจ้าบ้าอยู่เล็กน้อย บวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แล้ว ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองไปอย่างสมบูรณ์เวลาพูดคุย เขาไม่ได้คิดเลยว่าการที่เขาพูดคำเหล่านี้ออกไปอาจทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยข้อหากบฏก็เป็นได้ หากมีใครได้ยินที่เขาเข้าละก็
นี่มัน... พี่เฉิน นี่ท่านคิดอย่างนั้นจริงหรือ? หูปิงเย่วก็เริ่มตัวสั่นและลมหายใจเริ่มรุนแรงขึ้น
เจี้ยงเฉินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อเห็นทั้งสองคนจริงจังขนาดไหน เจ้าอ้วนซวน จินตนาการของเจ้านี่บางทีก็เกินไปนะ ข้ากล่าวเมื่อไหร่ว่าข้าต้องการที่จะแทนที่ราชวงศ์ตะวันออก
แล้วอย่างนั้นมันคืออะไรงั้นหรือ? เจ้าอ้วนซวนเกาหัวของเขาและดูงงงวย
ข้าจะเป็นผู้ฝึกตน มันคงจะเสียเวลาชีวิตของข้าถ้าเกิดว่าข้าโลภไปชั่วขณะ ข้า เจี้ยงเฉินต้องการที่จะเดินทางในสายศิลปะการต่อสู่เต๋าทั้งชีวิตของข้า ความมั่งคั่งและความร่ำรวยนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับของไร้ค่าสำหรับข้า
เจ้าอ้วนซวนกระสับกระส่ายเมื่อเห็นว่าเจี้ยงเฉินนั้นจริงจังขนาดไหน
พี่เฉิน นี่เหมือนไม่ใช่ท่านเลย เกิดอะไรขึ้นกับคำสาบานของเราก่อนหน้านี้? ไม่ใช่ว่าพวกเราจะบ้าไปด้วยกัน ร่วมสนุกด้วยกัน เป็นอิสระด้วยกันและพร้อมเผชิญหน้าด้วยกันไม่ใช่หรือ?
เจ้าอ้วนซวนกล่าวออกมา
คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง เจี้ยงเฉินถอนหายใจเล็กน้อย เจ้าอ้วน ตั้งแต่พวกเจ้าทั้งสองเป็นพี่น้องกับข้า ข้าจะไม่คืนคำ ถึงแม้ว่าการเล่นบ้าๆมันจะสนุก แต่วันเวลาเหล่านั้นไม่ยั่งยืน เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนที่ต้องการตำแหน่งขุนนางที่เจ้าครอบครองอยู่ ไม่มีอะไรจะพูดใช่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะตำแหน่งขุนนางแล้ว อะไรทำให้เจ้าสามารถเจ้าชู้อย่างนี้ได้? อะไรที่ทำให้เจ้าสามารถท่องเที่ยวได้อย่างอิสระกันล่ะ?
เจ้าอ้วนซวนนั้นไร้คำที่จะกล่าว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการได้ท่องเที่ยวอย่างอิสระด้วยกันนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ฝันหวานได้อย่างไรกัน
เจ้าจะหยิ่งยโสได้อย่างไรถ้าเกิดไม่มีพลัง? ใครกันที่จะอนุญาตให้เจ้านั้นหยิ่งยโส?
ท้ายที่สุดแล้ว ที่พวกเขาสามารถหยิ่งยโสและท่องเที่ยวได้อย่างอิสระนั้นก็เป็นเพราะมีพ่อแม่และตระกูลที่ดีเท่านั้นเอง
แต่หลังจากยุคของพวกเขาที่อยู่อย่างสบายๆจบไป แล้วรุ่นใหม่มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?
การกล่าวครั้งนี้เข้าถึงอย่างลึกซึ้งต่อหูปิงเย่ว เจ้าอ้วน พี่เฉินพูดถูกแล้ว ข้าเองก็คิดเช่นกันว่าพลังนั้นคือกฎที่แท้จริงของโลกใบนี้ ดูจากสิ่งที่พี่เฉินพบเจอในหลายวันมานี้สิ นี่ไม่ได้โชว์ให้เห็นถึงความจริงของกฎข้อนี้งั้นหรือ? ผู้คนที่เคยท้าทายเราไม่ว่าจะไปที่ไหน แล้วตอนนี้เล่า? ไม่ว่าใครก็ตามต่างเกรงกลัวพี่เฉินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองพวกเราเสียด้วยซ้ำ นี่คือการเปลี่ยนแปลงโดยใช้พลัง!
เจ้าอ้วนซวนเริ่มกลับมาเป็นคนเก่าที่สิ้นหวัง แต่พวกเจ้าก็รู้ว่าข้ามันอ้วน ไม่มีใครจริงจังกับข้า แค่การฝึกฝนได้ก็ดีพอแล้ว ข้าทำได้ถึงขั้นนี้เพียงเพราะว่าตาแก่ของข้าล้มข้าด้วยหมัดและบาทาของเขา...
เจ้าอ้วนเริ่มสลดหลังจากที่เริ่มพูด ถึงแม้เขาจะมีชีวิตที่ปกติและอยู่อย่างร่ำรวยดูเหมือนจะอยู่ดีกินดี แต่เขาก็มีด้านที่ไม่มีใครเคยเห็นเหมือนกัน ด้านที่เปราะบาง
ขนาดร่างกายของเขาและน้ำหนักได้นำปัญหามากมายมาให้แก่เขาโดยที่คนอื่นนั้นไม่มีปัญหาดังกล่าว มันยังคงแบ่งแยกเขาจากคนอื่นโดยที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ
เจ้าอ้วนนั้นเป็นคนละเอียดอ่อนและแคร์เรื่องนี้อยู่เสมอ แต่เขาต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้แคร์อะไรเลย เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและเลิกที่จะทำเป็นเรื่องตลกต่อตัวเขาเอง
แต่ทว่า ตั้งแต่ที่เขาได้พบกับเจี้ยงเฉินที่เมืองหลวงเพื่อการทดสอบมังกรซ่อน เขาได้พบคนเพียงคนเดียวที่ไม่แบ่งแยกเขาและเรียกเขาว่าน้องชาย
ในเวลานั้น เจ้าอ้วนซวนรู้สึกว่าเจี้ยงเฉินนั้นกลายเป็นพี่น้องคนสำคัญของเขา - พี่น้องที่จะเป็นไปทั้งชีวิตของเขาและเป็นใครสักคนที่เขาสามารถตายแทนได้
พี่เฉิน ท่านรู้ไหม? ครั้งแรกที่ข้าไปที่เมืองหลวง ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะกลมกลืนกับเหล่าทายาทขุนนางคนอื่นๆ แต่ข้ามักจะโดนดูถูกและเหยียดหยามไม่ว่าข้าจะไปไหน ท่าน... ท่านเป็นคนแรกที่เรียกข้าว่าเจ้าอ้วนโดยไม่มีร่องรอยของการเหยียดหยามบนใบหน้าของท่านเลย ในเวลานั้น ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อฟังท่านไม่ว่าท่านจะพูดอะไรสำหรับทั้งชีวิตของข้า!
เจ้าอ้วนซวนเริ่มตาแดงเมื่อเขาหยุดลงที่จุดนี้ พี่เฉิน ท่านพูดถูกแล้ว ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่ได้มีพ่อที่ดี พวกเราก็ไม่มีสิทธิที่จะทำตัวกร่างไปทั่ว ทำตัวบ้าๆ? นอกจากนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลานของข้าจะสามารถเที่ยวและใช้ชีวิตได้อย่างสุขใจ ข้าจะต้องปกป้องตำแหน่งขุนนางนี้เอาไว้!
ความปรารถนาที่เด็ดเดี่ยวนี้เองทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความร้อนแรงของประกายไฟในนัยน์ตาของเจ้าอ้วนซวนเป็นครั้งแรก