ตอนที่ 39 การให้คำแนะนำแก่องค์หญิงโจวหยู่ , ตอบแทนบุญคุณ
-------------------------
โดยธรรมชาติองค์หญิงโจวหยู่เป็นคนถือทิฐิ ถ้าเจี้ยงเฉินพูดอะไรอย่างอื่นนางก็คงไม่หันกลับมาอีก
แต่เจี้ยงเฉินได้พูดเรื่องที่อ่อนไหวที่สุดของนาง เรื่องที่นางตามอย่างใกล้ชิด และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด!
ใช่ นางได้หยุดอยู่ที่เส้นชีพจรสิบเส้นของพลังลมปราณแห่งฉีเป็นเวลาสามปี. เมื่อตอนที่นางอายุ18 ปี, องค์หญิงโจวหยู่ได้หลุดออกจากห่วงและหลุดไปในเก้าเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีโดยใช้จังหวะเดียวขึ้นไปถึงสิบเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี นางจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในพลังลมปราณฉีของราชวงศ์ที่อายุน้อยที่สุด
ในขณะนั้น องค์หญิงโจวหยู่ได้มีความเชื่ออย่างจริงจังว่าชีวิตของนางขึ้นอยู่กับการฝึกฝนพลังแห่งเต๋า
นางทำงานตลอดเวลาในช่วงสามปีที่ผ่านมา และภารกิจทั้งหมดที่พี่ชายของนางองค์ราชาตงฟางหลู่ มอบให้ นางส่งต่อไปยังดูหลูไห่เพื่อควบคุม
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมดูหลูไห่จึงสามารถควบคุมลมและฝนในการทดสอบมังกรซ่อนได้ เป็นเพราะนางให้อำนาจแก่เขามากเกินไป
แต่ในช่วงสามปีนี้ ไม่ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน, ออกไปข้างนอกเพื่อฝึกฝน, เดินทางจากเหนือจรดใต้ นางก็ไม่สามารถหาโอกาสในการพัฒนาสู่ชีพจรสิบเอ็ดเส้นของพลังลมปราณฉี
แต่ช่วงเวลานั้นไม่เคยมาถึง
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา นางพยายามต่อสู้อย่างกล้าหาญ, ทำหน้าที่อย่างบ้าคลั่ง, และแม้แต่ร้องไห้เงียบ ๆ ในยามค่ำคืนเมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้.
แต่มันก็เหมือนกับว่าเส้นทางในฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วยพลังเต๋าของนางถูกปิดกั้นอยู่ นางไม่เคยเข้าถึงแก่นแท้ของสิบเอ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีได้เลย.
นางเกือบจะสงสัยว่านางกำลังประเมินค่าตัวเองสูงไป
สิบเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีได้จำกัดศักยภาพของนางอย่างนั้นหรือ ?
ในช่วงเวลาที่เธอได้กลับไปยังเมืองหลวง เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เศร้าและสุดหดหู่ใจในชีวิตของนาง
การแสดงออกที่เยือกเย็นบนหน้าผากของนางแผ่กระจายออกไปอย่างแผ่วเบา และนัยยะของความรู้สึกได้กระพริบอย่างเห็นได้ชัดผ่านสายตาที่เปราะบางของนาง อย่างไรก็ตาม ลักษณะที่ปรากฏนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
องค์หญิงโจวหยู่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมอันเยือกเย็นของนางหลังจากนั้น
เจ้ายังหนุ่ม, ไม่ควรคาดเดาแบบสุ่ม ๆ ในประเด็นของการต่อสู้ด้วยพลังเต๋า
มันเดาได้แบบสุ่มๆ ได้ด้วยรึ? เจี้ยงเฉินยิ้มขณะที่เขานั่งและรอ ท่านอาจไม่ได้รู้ว่าความวิตกกังวลที่ท่านรู้สึกว่าท่านไม่สามารถที่จะพัฒนาไปถึงสิบเอ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉี ความกังวลนั้นมันถูกเขียนอยู่ใบหน้าของท่าน
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับท่านไม่เพียงแต่ท่านจะไม่สามารถพัฒนาได้ แต่ท่านไม่ห่างไกลจากการเบี่ยงเบนของการฝึกฝนซึ่งมันจะย้อนกลับมาทำร้ายท่านได้
ท่านต้องยอมรับด้วยว่าเมื่อใดก็ตามที่พระอาทิตย์ตกดิน,ท่านจะกระวนกระวายและหงุดหงิดราวกับไฟลุกโหมกระหน่ำมากในหน้าอกของท่านพยายามที่จะเผาไหม้ท่านให้กลายเป็นขี้เถ้า
ท่านจะปฏิเสธก็ได้ แต่ข้ายังคงต้องพูด ท่านควรทำเหมือนกับมันเป็นการตอบแทนบุญคุณ ไม่ว่าท่านจะฟังหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้วองค์หญิง
เจี้ยงเฉินแสดงรอยยิ้มเอื้ออารี รอยยิ้มของชายหนุ่มอายุสิบห้าหรือสิบหกปีเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดและเต็มไปด้วยความสดใส และยังปัดเป่าความเศร้ามองที่เปรียบเหมือนหมอกควันที่มืดมัวได้ง่ายขึ้น
แท้จริงแล้ว รอยยิ้มแบบนี้ทำให้คนหัวแข็งอย่างองค์หญิงโจวหยู่โกรธละเว้นการกระทืบเท้าและเดินจากไป ตอกหน้าเจี้ยงเฉิน แต่ อย่างไรก็ตามนางก็มองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน
เมื่อต้องการมองไปยังชายหนุ่ม นางเข้าใจน้อยลง
ศักยภาพของท่าน วิธีการที่ท่านกำลังฝึกฝน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พอเพียงสำหรับท่านในการก้าวสู่สิบเอ็ดเส้นชีพจรของพลังลมปราณฉีที่แท้จริง ร่างกายของท่านได้รวบรวมแม้กระทั่งศักยภาพที่จะลองใช้จิตวิญญาณแห่งพลังเต๋าก็สามารถทำได้
แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่สามารถได้รับความสำเร็จ บุคลิกภาพที่หัวแข็งของท่านมีผลต่อสภาวะจิตใจของท่าน
แล้วยังไง ? องค์หญิงโจวหยู่รู้สึกไม่พอใจ แต่ยังคงปรารถนาให้เจี้ยงเฉินพูดต่อเร็ว ๆ
ง่ายมาก คำ ๆ เดียวเท่านั้น - จิตใจที่เงียบสงบ เจี้ยงเฉินยิ้มจาง ไฟในตัวท่านที่ไหม้อย่างรุนแรงจนไปส่งผลให้มีพลังจิตมากเกินไปภายในร่างกายของท่านและทำให้เกิดความไม่สมดุลในหยินและหยางของท่าน นี่ส่งผลต่อการไหลเวียนของเส้นชีพจร เพิ่มด้วยความใจร้อนของท่าน และในที่สุดมันทำให้การควบคุมเส้นชีพจรอ่อนลง
แค่นั้นหรอกหรือ ?" องค์หญิงโจวหยู่ไม่อยากจะเชื่อเขาซักเท่าไหร่นัก
ถ้าจะพูดว่าง่ายมันก็ง่าย แต่จะพูดว่ายากมันก็ยาก การฝึกฝนในการใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยพลังเต๋ามันไม่ใช่เพียงการอ่านตำราหนังสือและภาคทฤษฎี แต่ต้องปลูกฝังความสงบและขับไล่ความชั่วร้ายออกจากจิตใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ? ด้วยบุคลิกของท่าน ข้ารู้สึกว่าความยากลำบากจะสูง ท่านไม่รู้ตัวเลยรึว่าท่านกำลังเดินใกล้กับความคลาดเคลื่อนในการฝึกฝนมากขึ้น?
องค์หญิงโจวหยู่เคลื่อนตัวออกมา ร่องรอยของวิญญาณที่แผ่วเบากระพริบเหนือความงามที่ไม่มีใครเทียบได้บนใบหน้าของนาง นางไม่ต้องการที่จะยอมรับมันจริง ๆ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าความจริงเป็นเช่นนั้น
ทันใดนั้น นางก็ได้ขมวดคิ้วและขยับขึ้นเล็กน้อยและนางก็โพล่งออกมาว่า เจี้ยงเฉิน เจ้ามีวิธีแก้ไขปัญหานี้หรือไม่?
องค์หญิงโจวหยู่เกือบจะใช้กำลังทั้งหมดในการถามคำถามนี้ นางรู้สึกว่านางอ่อนแออย่างแท้จริง ทำไมนางถึงดูเหมือนเด็ก ๆ จะขอคำตอบ? ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่รู้ มันจะน่าเกลียดซักขนาดไหนกัน?
อารมณ์ของนางมีความซับซ้อนมากในช่วงเวลาหนึ่ง และนางก็ไม่กล้าที่จะสบตางตากับเจี้ยงเฉิน รูปลักษณ์ของหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะทะลุผ่านโขดหินโลหะและทำลายความคิดภายในของนางได้โดยตรง
ข้าบอกว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านเพียงหนึ่งครั้ง เจี้ยงเฉินยิ้ม ข้าจะไปดูองค์หญิงจื่อยั่ว ท่านจะมากับข้าหรือไม่ ?
องค์หญิงโจวหยู่กระทืบเท้า แต่เท้าของนางก็ได้ทรยศนางทำให้นางล้มลงไปในอ้อมแขนของเขา
องค์หญิงจื่อยั่วรู้สึกปลื้มใจที่ได้เห็นเจี้ยงเฉิน นางดูเหมือนจะบินไปด้วยความอิ่มเอมใจ เพราะนางได้เห็นภาพที่ดูมีความสุขอันไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านพี่เจี้ยงเฉิน ท่านบอกว่าท่านจะมาเดือนละครั้งไม่ใช่หรือ ? เที่ท่านมาวันนี้เพราะท่านคิดถึงจื่อยั่วใช่หรือไม่ ? เด็กหญิงตัวเล็กมีข้อสังเกตเล็กน้อยเมื่อพูดถึง
ข้าจะสบายใจได้ยังไง ถ้าข้าไม่ได้มองเจ้า เกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาทรมานเจ้าและไม่ทำตามคำแนะนำของข้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า หัวของข้าจะถูกตัดไปพร้อมกับเจ้า เจี้ยงเฉินรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่รอบ ๆ องค์หญิงจื่อยั่ว
ทั้งสองหัวเราะและพูดคุยโดยไม่มีร่องรอยของความบาดหมาง
องค์หญิงโจวหยู่เพิ่งมาเห็นฉากนี้และรู้สึกแปลก ๆ ในใจ นางค่อนข้างอิจฉาความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถสนทนาอย่างสนิทสนมได้
แต่นางก็รู้สึกว่านี่ไม่ค่อยเหมาะสม
แต่นางไม่ได้พูดอะไร
ท่านอา ท่านมาเยี่ยมข้า วิเศษมาก จื่อยั่วได้เห็นสองคนที่นางรักที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน อะไรจะทำให้มีความสุขไปมากกว่านี้!
จื่อยั่ว ไปหยิบพู่กันและกระดาษ ข้าจะเขียนบางสิ่งบางอย่างให้กับอาของเจ้า. เจี้ยงเฉินมีทัศนคติว่าเขาคือหัวหน้า นอกจากนี้เขายังเป็นคนเดียวในอาณาจักรนี้ที่กล้าสั่งองค์หญิงจื่อยั่วได้
แม้กระทั่งองค์ราชาตงฟางหลู่ก็รู็สึกใจอ่อนที่จะสั่งลูกเหมือนคนใช้
แต่สาวน้อยคนนี้ก็เต็มใจและวิ่งออกไปอย่างมีความสุขราวกับว่าผู้ใหญ่ให้ลูกกวาดแก่เด็ก นางวิ่งไปอย่างสุดพลัง
นางดูเหมือนจะได้รับเกียรติให้ทำอะไรให้กับเจี้ยงเฉิน
หลังจากได้รับกระดาษและพู่กันแล้ว เจี้ยงเฉินก็เงียบขรึมสักครู่ขณะที่เขาหยิบพู่กันแล้วเริ่มเขียน
กระดาษ 2 แผ่น ถูกเขียนอย่างรวดเร็ว
แผ่นแรกคือเคล็ดวิชาเพื่อทำให้ลมปราณของพลังฉีราบลื่นขึ้น นำมันกลับไปศึกษาดู มันจะเป็นประโยชน์กับท่านในการแสวงหาความเงียบสงบ สำหรับแผ่นที่สองก็เป็นใบสั่งยา ท่านสามารถใช้มันเพื่อกำหนดยาสำหรับตัวเอง. เจี้ยงเฉินวางกระดาษทั้งสองแผ่นใส่มือขององค์หญิงโจวหยู่อย่างรวดเร็ว
นางยอมรับมันด้วยการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์
เจ้าต้องคิดว่า เจ้าเป็นคนโง่ เจ้ากำลังยัดเยียดสิ่งเหล่านี้ให้ข้า ? เจี้ยงเฉินยิ้มอย่างสนุกสนาน ท่านสามารถเลือกที่จะเชื่อหรือเลือกที่จะไม่เชื่อ ทั้งสองวิธี เท่ากับว่าข้าได้ตอบแทนบุญคุณให้แก่ท่าน
ใช่สิ ถ้าท่านไม่เชื่อข้าจริง ๆ ท่านสามารถนำใบสั่งยาและประมูลได้ที่หอโอสถ บางทีมันอาจจะทำให้ท่านได้รับสามหรือห้าล้านชั่ง.
เจี้ยงเฉินเริ่มเดินรอบ ๆ ตำหนักขององค์หญิงจื่อยั่วหลังจากที่เขาได้ออกคำแนะนำเหล่านั้น
หินหยินถูกวางลงตามคำแนะนำของเขา แต่คราวนี้หินหยินเหล่านี้ยังคงเป็นของวัตถุที่ยังไม่ได้เชื่อมประสานต่อกัน
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดในขณะนี้ ระดับการฝึกเพาะในปัจจุบันของเขามันยังไม่ถึงขั้นที่จะจัดการเปิดการเชื่อมต่อกันได้
พูดอย่างผิวเผิน มันเป็นรูปแบบมากกว่าการทำงาน มันจะดีมากถ้ามันสามารถขยายหนึ่งในสิบส่วนของอำนาจของมัน
เอาล่ะ เจ้าสองคนคุยกันตามสบายเถอะ ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำและจำเป็นต้องไป อย่าเกเรล่ะหลานอา อย่าลืมสิ่งที่อาบอกไป
เจี้ยงเฉินรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างแปลกและตัดสินใจที่จะกลับ
องค์หญิงจื่อยั่วรู้สึกเสียใจ ท่านพี่เจี้ยงเฉิน ท่านเพิ่งจะมาถึงท่านจะไปแล้วหรอ? ไม่ต้องห่วง จื่อยั่วจะมีสุขภาพดีเพื่อท่านพี่เจี้ยงเฉินและจะไม่ลากให้ท่านตกลงไปพร้อมกับข้า
เจี้ยงเฉินถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น และเขาก็จากไป
องค์หญิงโจวหยู่จ้องมองที่ร่างของเจียงเฉินที่กำลังถอยกลับและพึมพำว่า ชายคนนี้ชอบที่จะอวดตัวเองอย่างเต็มที่
ฮะ ฮะ ฮ่า ท่านอามันไม่ใช่เรื่องดีที่จะพูดเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับคนอื่นลับหลังนะ เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะอย่างซุกซน ไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนเพิ่งได้เจริญรอยตามคนอวดดี
เอาล่ะ เจ้าปีศาจตัวน้อยของอา เจ้าลำเอียงกับคนนอกและลืมเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้าเองหรือ? องค์หญิงโจวหยู่สนิทสนมกับหลานสาวคนนี้มาก และพวกเขาก็ทำเหมือนพี่สาวน้องสาวมากกว่า
เสียงหัวเราะหัวเราะคิกคักและเล่นไล่ตาม ในช่วงเวลานั้นทั่วทั้งสวนเต็มไปด้วยเสียงแห่งความสุข
จิตใจของเจี้ยงเฉินสงบลงเมื่อเขาออกจากพระราชวัง และเขาก็สรุปถึงผลกำไรและความสูญเสียในวันนี้ เมื่อนั้นเองมีผู้คนขี่ม้าขึ้นมาบนถนน
ผู้นำสวมชุดเกราะ เขาคือผู้นำของตระกูลเจี้ยง เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์เหล็กของเจี้ยงหยิง
' อ๋องน้อย ท่านอ๋องเจี้ยง มีคำสั่งให้ข้ามาช่วยท่าน เจี้ยงเฉินกระโดดลงมาจากหลังม้าด้วยท่าทางที่ราบรื่นอย่างที่ฝึกฝนมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง และพวกเขาสังเกตคำพูดของเขา
ท่านลุงหยิง, ท่านมาทำอะไรที่นี่? ความคิดของเจี้ยงเฉินวิ่งเข้ามาดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ขอหารือกันหลังจากที่เราได้พาเจ้าหนุ่มไปที่คฤหาสน์ กองกำลังรักษาความปลอดภัยของผู้พิทักษ์เหล็กได้ล้อมรอบเจี้ยงเฉินอยู่ในการดูแลรักษาของพวกเขาเมื่อเจี้ยงหยิงพูด
มีบางอย่างเกิดขึ้น ? เจี้ยงเฉินถามเบา ๆ
เมื่อท่านอ๋องเจี้ยงกำลังจะออกไปขณะนั้นเองใต้เท้าถูกซุ่มโจมตีที่ประตูคฤหาสน์ สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวายในเมืองหลวง ดังนั้นท่านอ๋องได้สั่งให้ข้ามาช่วยท่าน
อะไรนะ ท่านพ่อโดนทำร้ายรึเปล่า ? ใบหน้าของเจี้ยงเฉินมืดครึ้มขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินความวุ่นวายในเมืองหลวงต่ำไป
ท่านอ๋องบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย อาการของท่านจะดีขึ้นหลังจากการพักผ่อนไม่กี่วัน ขณะที่เขาตอบ สายตาของเขาคอยสอดส่องไปมาดั่งนกเหยี่ยว เขามีระดับความระมัดระวังที่สูง
งั้นบอกมาสิว่าเป็นฝีมือใคร เรามีเบาะแสหรือไม่? เจี้ยงเฉินผ่อนคลายเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าพ่อของเขาไม่ได้เป็นอะไรมากนัก บอกกันตามตรง คนแรกที่เขาระบุตัวตนด้วยเมื่อมาถึงโลกนี้คือพ่อที่น่ารักของเขา
ข้ายังไม่มีเวลาที่จะตรวจสอบ เจี้ยงหยิงตอบง่าย ๆ
"ฮึ่ม ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สามารถเอาแผ่นดินเจี้ยงของเราไปด้วยปัญญา ดังนั้นตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมที่จะใช้กำลัง เจี้ยงเฉินสามารถใช้นิ้วเท้าของเขาเพื่อคิดได้ว่านี่ต้องเป็นอีกหนึ่งมือที่ขุนนางแห่งมังกรทะยานใช้, หลงซาวเฟิงได้เริ่มแผนของเขาอีกครั้ง
ดูหลูไห่เล่นบทบาทของกองหน้าในการปิดกั้นเจี้ยงเฉินในการสอบพื้นฐานสามครั้ง ตอนนี้ก็เพิ่มว่าการโจมตีพ่อของเขาที่ประตูหน้า - นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนของการโจมตีที่ต่อเนื่องกัน
เจี้ยงเฉินโกรธจัด ความกราดเกรี้ยวได้เดือดอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของเขา
การยั่วยุที่เขาได้รับเพื่อเป็นการการทักทายตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้คือการแทรกแซงของการต่อสู้และการสู้รบก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเจี้ยงเฉิน เขามักมองดูมันด้วยทัศนคติที่หยาบคาย
แต่ตอนนี้ ความจริงที่นองเลือดอยู่ตรงหน้าเขา นี่ไม่ใช่การสู้รบเล็กน้อย แต่เป็นการสังหารที่กระหายเลือดไปสู่ความตาย
หลงซาวเฟิง ... เจี้ยงเฉินเรียกชื่อนี้ซ้ำในใจ เป็นแรงผลักดันอันแข็งแกร่งที่พร้อมจะเผชิญหน้าเพื่อฟาดฟันศัตรูเป็นครั้งแรก