ฉันอดไม่ได้ที่จะตบบ่าอาไลจาห์เพราะดูเหมือนวิญญาณของเขากำลังจะหลุดรอดจากปากของเขา มีเงาอยู่ภายใต้ดวงตาที่ไร้ชีวิตของเขา แก้มที่จมลงของเขาทำให้เขาดูเหมือนโครงกระดูกกลวง
“ นั้นไงเอาแล้วไง…” ฉันถอนหายใจ แม้แต่ซิลวี่เองยังสงสารเขาขณะที่เธอกระโดดออกจากหัวของฉันและทับไปที่หัวของเขาพร้อมกับกัดกระหม่อมเพื่อปลุกให้เขาตื่น
ดวงตาที่น่ากลัวของเขามองมาที่ฉันขณะที่เขาหันศีรษะไป “ …ไม่ยุติธรรม ” เขาพึมพำ
"อะไร?" ฉันโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังสิ่งที่เขากระซิบได้ดีขึ้น
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ฉันริมฝีปากของเขาเกือบจะสัมผัสกับใบหูของฉัน “ มันไม่ยุติธรรมเลยให้ตายเถอะ!”
“ อ๊ะ!” ฉันรู้สึกประหลาดใจเมื่อหูของฉันได้ยินเสียงตะโกน “ เป็นบ้าอะไรนี้! อย่าตะโกนใส่หูฉันสิ!” ฉันใช่นิ้วกวนในช่องหูของฉันเพื่อเช็ดน้ำลายที่หลงเหลืออยู่ภายในหูที่ทำโดยเพื่อนตัวแสบของฉัน
“ หน้าตาความสามารถและแม้กระทั่งโชคกับสาว ๆ ! ทำไมนายถึงมีครบทุกอย่างเลย ” เขาวางมือทั้งสองข้างไว้บนแขนของฉันและจ้องด้วยใบหน้าที่สมาธิของเขา
ฉันถามด้วยความสับสนกับการกระทำนี้ฉันถามว่า "นายกำลังทำอะไรอยู่?"
“ …พยายามดูว่าฉันสามารถดูดซับความเป็นอาเธอร์จากตัวนายได้บ้างไหม” เขาพึมพำและยังคงตั้งอกตั้งใจ
"นายเป็นบ้าหรือเปล่านี้?" ฉันส่ายหัวและยกมือของเขาออกจากตัวฉัน
ระหว่างทางไปห้องอาหารซึ่งอยู่ห่างจากหอพักฉันอธิบายสั้นๆ กับอาไลจาห์ว่าฉันพบเทสได้อย่างไร - เขาเกลียดมากที่ฉันเรียกเธออย่างนั้น ตั้งแต่ตอนอยู่ในป่าเอลเชียร์ ตลอดเวลาที่ฉันเล่าเรื่องราวให้เขาฟังตั้งแต่การใช้ชีวิตในอาณาจักรของเอเลนนัวร์กับเทสไปจนถึงการเรียนรู้การปรับเปลี่ยนมานาจากปู่ของเธอฉันแทบจะเห็นคำพูดของฉันแทงทะลุเขาในขณะที่ชีวิตของเขาค่อยๆลอยออกจากเขา
“ นายรู้ไหมว่าพวกคนแคระนั้นมีความน่าดึงดูดแบบไหนอาร์ต?” เขาเอนตัวเข้ามาใกล้ๆเพื่อความสบายในขณะที่เราทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ
“ ก็ว่ามาสิ ” ฉันลอกหัวของฉันกลับจากเพื่อนที่กำลังใส่อารมณ์มากเกินไป
"ไม่..มี...เลย” เขากล่าวเรื่องจริง “ ความงามที่คนแคระยึดถือนั้นตรงกันข้ามกับมนุษย์อย่างสิ้นเชิงอาร์ต! ฉันอาจได้รับการเลี้ยงดูในอาณาจักรของพวกเขา แต่จะไม่มีวันที่ฉันจะสามารถเห็นอกเห็นใจกับคำจำกัดความของคำว่า "น่าดึงดูด" ของพวกเขาได้
ฉันหัวเราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผู้หญิงที่น่าดึงดูดจะเป็นอย่างไรสำหรับพวกคนแคระ แต่ฉันก็ถามต่อไป “ ฮ่าฮ่า! อธิบายให้ฉันฟังว่าชีวิตของนายได้รับความเสียหายยังไงบ้าง”
“ เมื่อฉันอายุแปดขวบปู่ของฉัน...ผู้อาวุโสที่ดูแลฉันแนะนำสาวให้ฉัน เขาหวังว่าเธอจะเป็นภรรยาในอนาคตของฉัน ทั้งสัปดาห์ก่อนหน้านี้เขาพูดถึงว่าเธอสวยและสง่าแค่ไหน แต่เมื่อเธอปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ฉันสาบานได้เลยว่าฉันนึกว่าเธอเป็นผู้ชายสูงล้ำคนหนึ่งเลยละอาร์ต " ร่างกายของเขาสั่นสะท้านจากความคิดที่หวนกลับไปนึกถึงฝันร้ายในอดีต
“ เธอชื่อเฮลการ์ธและฉันสาบานได้ว่าเธอทำให้ฉันกลัวกับความบริสุทธิ์ของฉัน ขากรรไกรที่เป็นเหลี่ยมของเธอแขนขาเหมือนลำต้นของเธอ เส้นเลือดที่หนาและจมูกที่ยาวและหนาของเธอด้วย ... เธอมีขนอยู่ที่ริมฝีปากบนของเธอด้วยนะอาร์ต เธอมีขนบนหน้าตอนเธออายุเก้าขวบอาร์ต!” อาไลจาห์กำลังเขย่าฉัน ในตอนนี้ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้
“ โอเคโอเคฉันเข้าใจแล้ว! นายเป็นเด็กหนุ่มที่ขาดแคลนสาวๆมานานมากและนายก็เข้าสู่วัยแรกรุ่นเร็วเกินไป” ฉันยักไหล่พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นในขณะที่พยายามทำให้เสียงหัวเราะของฉันสงบลง
“ นายลองได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กของนายไปพร้อมกับสาวๆที่มีกล้ามล้ำบึกสิ แล้วนายจะไม่แปลกใจเลยเวลาที่นายได้คุยกับเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ” เขาส่ายหัวกลับไปสู่ตัวตนที่ไร้ชีวิตของเขา
“ เอาน่า…นายอยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในฐานะนักเรียนจอมเวทย์การต่อสู้และอย่างน้อยนายก็อยู่เหนือกว่าหลายๆคนในชั้นเรียนของเราดังนั้นเพียงแค่แสดงความสามารถของนายออกมา นายจะต้องเป็นที่ถูกใจของสาวสักคนอยู่แล้ว” ฉันพูดในแง่ดี
“ ความสงสารของนายกำลังทำร้ายฉันอย่างแท้จริง” เขาถอนหายใจทำให้เราทั้งคู่หัวเราะ
“ โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบเครื่องแบบใหม่ของนายมากกว่า” อาไลจาห์กล่าวขณะที่เขาศึกษาฉัน “ มันทำให้นายดูแข็งแกร่งมากขึ้นและเข้าถึงได้ยาก” เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของตัวเอง
เครื่องแบบใหม่ที่ฉันได้รับจากผู้อำนวยการซินเทียไม่ได้แตกต่างกันมากนักในแง่ของรูปลักษณ์จากเครื่องแบบของนักเรียนสายวิชาการของฉัน
มันประกอบไปด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีแถบสีดำที่กลางแขนเหนือข้อศอกและเสื้อกั๊กสีเทาอ่อน ทั้งเสื้อกั๊กใหม่และกางเกงสีเทาเข้มทำจากวัสดุที่แตกต่างกันโดยมีการสลักพิเศษอยู่ด้านใน มันทำให้ฉันสงสัยว่ามันมีคุณสมบัติในการปกป้องอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามแทนที่จะเป็นนาฬิกาพกของฉันบนกระเป๋าหน้าอกมันเป็นสายพาดหน้าอกที่คล้องเข้าที่ไหล่ของฉันโดยมีมีดสีเงินที่หุ้มอยู่เหนือหัวใจของฉัน ส่วนเชือกสีทองแทนที่เชือกสีแดงที่ฉันผูกไว้ใต้คอเสื้อทำให้เครื่องแต่งกายทั้งหมดของฉันดูเป็นเหมือนชุดของราชวงศ์มากขึ้น
ฉันมองลงไปและถอนหายใจออกมา ฉันต้องยอมรับว่าเครื่องแบบนั้นดูดีมาก แต่ฉันไม่ชอบเสื้อผ้าที่ฉูดฉาดแบบนี้ นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนแจ๊กเก็ตที่ฉันควรจะได้รับในภายหลัง
“ แล้วนายจะทำต้องทำอะไรบ้างในคณะกรรมการวินัย” อาไลจาห์ถามฉันอย่างจริงจังมากขึ้น
ฉันเอียงศีรษะและไม่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร “ นายหมายถึงอะไร ?”
เขายักไหล่มองไปข้างหน้าโดยตระหนักว่าเราเกือบจะถึงห้องอาหารแล้ว “ ฉันหมายความว่าฉันรู้ว่านายเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการชุดใหม่นี้แล้ว แต่นายจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้จริงๆหรือ? ดูเหมือนจะเป็นงานที่ยุ่งมากนะ”
มันเป็นความจริง ผู้อำนวยการต้องการให้ฉันเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการชุดใหม่นี้ แต่ก็ยังไม่ได้ระบุว่าฉันต้องทำอะไร “ ฉันจะพยายามทำมันให้ดีที่สุด ฉันคิดว่าจะทำอย่างเต็มที่ตั้งแต่ที่ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว แบบนี้มันดีกว่าใช่มั้ย? นอกจากนี้เอลลีจะเข้าเรียนในสถาบันแห่งนี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฉันต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อปูเส้นทางให้เธอ ดังนั้นเมื่อเธอมามันจะง่ายขึ้น " ฉันเปิดประตูและถูกต้อนรับด้วยบทสนทนาที่แยกไม่ออกของนักเรียนและกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์และสมุนไพร
เมื่อเราทั้งคู่ก้าวเข้ามา ห้องโถงก็เงียบลงและฉันรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของนักเรียนขณะที่พวกเขากำลังศึกษาเรา เมื่อไม่สนใจสายตาที่จ้องมองและสายตาที่อยากรู้อยากเห็นเป็นครั้งคราวเราเดินเข้าไปในแถวและรับอาหารของเราเพื่อนั่งอยู่ที่มุมด้านหลัง
“ ดูเหมือนว่านายจะป๊อปปูล่าไม่เบานะอาร์ต ” อาไลจาห์ยิ้มเยาะขณะหยิบเนื้อย่างขึ้นมาด้วยส้อม
"ฉันจะบอกอย่างไรดีละ?" ฉันเสยผมด้วยท่าที่หยิ่งผยองแล้วเราทั้งคู่ก็เริ่มหัวเราะ
"อา! อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เช้าเราต้องไปที่สโมสรนะ!” อาไลจาห์กล่าวทั้งๆที่มีเนื้ออยู่เต็มปาก
ฉันถอนหายใจกับสิ่งนี้ “ โอ้ใช่…พรุ่งนี้เช้าฉันต้องไปที่หอประชุม คณะกรรมการวินัยกำลังได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการก่อนที่สโมสรจะเริ่มในวันพรุ่งนี้” ฉันเล่นกับผักของฉันก่อนที่จะลองให้ซิลวีกินซึ่งเธอปฏิเสธในทันที
ผู้อำนวยการซินเธียได้ฝากคำแนะนำสองสามข้อพร้อมกับเครื่องแบบใหม่
“ นั่นหมายความว่านายจะได้พบกับคณะกรรมการวินัยที่เหลือ! น่าตื่นเต้นจัง! ถ้างั้นนายช่วยปลุกฉันก่อนที่นายจะออกไปด้วยนะ”
"จะทำให้" ฉันหยิบเนื้อย่างให้ตัวเองแต่ซิลวีขโมยมันไปก่อนที่มันจะถึงปากของฉัน
เราคุยกันเกี่ยวกับสโมสรที่อาไลจาห์อยากจะเข้าร่วมและชั้นเรียนที่เรามี เมื่อปรากฎว่าคณะกรรมการวินัยต้องประชุมกันทุกเช้าซึ่งมันทำให้ฉันรำคาญ ดูเหมือนว่าฉันจะเลิกนิสัยการนอนที่ไม่ดีได้ในที่สุด
นอกจากนั้นตารางเรียนประจำวันของฉันประกอบไปด้วย: พื้นฐานของทฤษฎีมานา การจัดการมานาเชิงปฏิบัติและพื้นฐานของการประดิษฐ์ไอเทมวิเศษ
หลังอาหารกลางวันเป็นเวลาที่ชั้นเรียนระดับสูงของฉันจะเริ่มขึ้น คลาสเหล่านั้นคือทฤษฎีเวทย์ของดีวีเอินท I, กลศาสตร์การต่อสู้แบบทีม I และการสร้างคาถา I
ในช่วงปิดเทอมของฤดูใบไม้ร่วงมีชั้นเรียนระดับสูงสำหรับนักเรียนสายต่อสู้ ในขณะที่ชั้นเรียนภาคเรียนในฤดูใบไม้ผลิมีความหลากหลายมากขึ้นสำหรับนักเรียนสายวิชาการ
นักเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาเรียนเพียง 3-4 วิชาต่อภาคเรียน แต่โดยพื้นฐานแล้วฉันต้องเรียนเพิ่มเป็นสองเท่าวิชาเรียนของฉันจบลงที่ 7 โมงเย็นโดยไม่ทิ้งให้ฉันมีเวลาสำหรับชมรมเลย สำหรับอาไลจาห์เราเรียนพื้นฐานของทฤษฎีมานาด้วยกัน คลาสอื่นๆ ของเขาประกอบไปด้วย 'พื้นฐานของการร่ายเวทย์อย่างต่อเนื้อง' และ 'การประยุกต์ใช้มานา I'
สโมสรต่างๆมุ่งเน้นไปที่นักเรียนรุ้นพี่มากกว่า เนื่องจากชั้นเรียนของพวกเขาทั้งหมดอยู่ในช่วงเย็นและในทางกลับกันสำหรับนักเรียนรุ้นน้อง “ บางทีฉันควรจะเข้าร่วมชมรมการต่อสู้แบบประชิดตัว ฉันได้ยินมาว่ามีคอนเจอะเรอร์มาสมัครมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาพยายามที่จะทำให้ตัวเองชินกับการต่อสู้ระยะใกล้” เขาครุ่นคิดในขณะที่โกยเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก
“ อืมใช่ฉันได้ยินมาจากพ่อของฉัน เขากำลังบอกฉันว่ามีคอนเจอะเรอร์บางคนที่ต้องการได้รับคัดเลือกให้เรียนรู้การต่อสู้ระยะใกล้แม้ว่าฉันจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะได้ผลอย่างไร " ฉันสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอิ่มแม้ว่าจานของฉันจะว่างเปล่า แต่แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันแทบจะไม่ได้กินเนื้อเลย ต้องขอบคุณซิลวีที่ตอนนี้กำลังรู้สึก 'พึงพอใจ' อยู่บนหัวของฉัน
ระหว่างทานอาหารเราทั้งสองคนสามารถบอกได้ว่ามีคนคุยกันเกี่ยวกับเรา เราเห็นได้จากการสุ่มดูผู้คนอื่นๆ อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครเข้ามาหาเราจนถึงตอนนี้
ใรกลุ่มนักเรียนที่สวมเครื่องแบบของนักเวทย์สายต่อสู้เดินมาที่โต๊ะของเราโดยไม่สนใจการมีอยู่ของฉันโดยสิ้นเชิง หัวหน้ากลุ่มเป็นชายร่างสูงผมสีน้ำตาลหยักศกแสกกลางยื่นมือออกไปหาอาไลจาห์
“ ฉันชื่อชาร์ลเรเวนพอร์ที่ II เกิดในครอบครัวเรเวนพอร์ที่มีชื่อเสียง ฉันแน่ใจว่านายคงเคยได้ยินเรื่องนี้ใช่มั้ย? ฉันอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่านายกำลังใช้เวลากับใครบางคนที่อยู่ต่ำกว่านายนะ วันนี้ฉันมีข้อเสนอพิเศษที่จะให้นายมาร่วมกลุ่มกับเรา” คางของเขายื่นออกมาและมั่นใจว่าอาไลจาห์จะจับมือเขา
“ นายกำลังได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเรเวนพอร์เชี่ยวนะ ” คนในกลุ่มพูดเสียงดังสะท้อนอยู่ด้านหลัง
“ ตระกูลเรเวนพูตนี้นะ? ไม่เคยได้ยินชื่อครอบครัวที่ตั้งชื่อตามอุจจาระของนกมาก่อน อาร์ตนายเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า?” อาไลจาห์มองมาที่ฉันด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาทำให้ฉันหัวเราะผ่านทางจมูก (Editor note : เรเวนพอร์ = อีกาดำ เรเวนพูต = อีกาขี้แตก )
“ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่ฉันรู้สึกอายมากที่ต้องอยู่ในครอบครัวเช่นเรเวนพูตแม้ว่าฉันจะรู้จักพวกเขาก็ตาม” ฉันพยายามซ่อนรอยยิ้มขณะที่เล่นไปตามน้ำและทำตัวเหมือนเด็กๆ
นักเรียนบางคนในบริเวณใกล้เคียงที่ได้ยินการสนทนาของเราเริ่มหัวเราะ
“ กะ..แก…แกกล้าล้อเลียนตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างเรเวนพอร์ได้ยังไง?” ชาร์ลฟาดหมัดลงบนโต๊ะของเราโดยเน้นชื่อตระกูลของเขาซึ่งทำให้พวกเขาหัวเราะมากยิ่งขึ้น
“ ฉันเป็นนักเรียนปีสองที่พวกแกควรแสดงความเคารพ! ฉันยอมมาทักทายมือใหม่ก็เพราะฉันไม่ต้องการให้นักเรียนสายต่อสู้ต้องลดระดับตัวเองด้วยการอยู่ร่วมกับนักเรียนสายขยะๆแบบนี้ แต่แกกลับถ่มน้ำลายใส่หน้าฉันแบบนี้หรือ?” มือของเขากระตุกแล้วเพื่อเอื้อมไปยังไม้กายสิทธิ์ที่รัดอยู่ที่ขาขวาของเขา
อาไลจาห์มองเขาไปในสายตาและกล่าวว่า “ ก่อนอื่นเขาเป็นนักเรียนสายวิชาการที่เชี่ยวชาญ อาเธอร์เป็นนักเวทย์มากพอๆ กับนักเรียนสายต่อสู้คนอื่นๆ อย่างที่สองทำไมฉันต้องไปเข้าร่วมกลุ่มกับคนที่ดูถูกเพื่อนรักและเพื่อนร่วมห้องของฉันอย่างโจ่งแจ้งด้วย? ประการที่สามเห็นได้ชัดว่านายไม่ได้มาที่นี่ด้วยความเมตตาที่มีต่อฉัน แต่มาที่นี่เพราะความเป็นปรปักษ์ต่ออาเธอร์ดังนั้นเลิกตัวทำเป็นเด็กและไปได้แล้ว”
ฉันต้องยอมรับว่าเมื่อเพื่อนของฉันแสดงสีหน้าจริงจังบวกกับลักษณะที่คมชัดตามธรรมชาติของเขา เขาดูน่ากลัวเลยทีเดียว
การดวลภายในสถานที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตนั้นจะส่งผลให้เกิดการลงโทษครั้งใหญ่และแน่นอนการใช้เวทย์มนต์ในโรงอาหารก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถหยุดคุณชายเรเวนพอร์ได้
ลมรวมตัวรอบๆตัวเขาในขณะที่เขาพยายามที่จะควบคุมความโกรธของเขาให้อยู่ภายใต้การควบคุม “ แจ็ค!” เขาคำรามและลมพัดมารอบๆตัวเขาขณะที่เขาเรียกลูกน้องคนหนึ่งออกมา
เด็กชายที่มีใบหน้าดูร่าวๆ 13 ปีแต่มีร่างกายที่ดูใหญ่เกินวัยก้าวออกมาจากด้านหลัง
“ แสดงให้ไอ้พวกเด็กเหลือขอเหล่านี้เห็นทีว่าโลกนี้มันทำงานยังไง” เขาคำรามและก้าวถอยหลัง
แจ็คดูลังเลเล็กน้อย แต่ชาร์ลบอกว่าเขาจะได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสม นั่นทำให้แจ็คเผยรอยยิ้มแสนชั่วร้ายออกมาขณะที่เขาสวมถุงมือที่มีกรงเล็บไว้ที่หมัดของเขา
“ แย่จังเลยนะ ” เขายิ้มเยาะบิดคอก่อนจะทุบโต๊ะจนมันแยกเป็นครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้ห้องอาหารอยู่ในความสับสนวุ่นวายขณะที่นักเรียนได้รวมตัวกันรอบๆ บางคนลุกขึ้นยืนบนโต๊ะเพื่อให้ได้มุมมองที่ดีขึ้น
อาไลจาห์ปกป้องใบหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจเมื่อโต๊ะถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ แต่ฉันก็ยังไม่สะทกสะท้าน ขาของฉันไขว่ห้างขณะที่ฉันจิบน้ำจากแก้วที่ฉันถืออยู่ในขณะที่ซิลวีหลับ
"นายบ้าไหรือเปล่า?! นี่คือโรงอาหารนะ!” อาไลจาห์ร้องเสียงหลงขณะที่เขายืนขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับแจ็คที่ใช้หมัดกรงเล็บ
“ ไม่เป็นไร เพราะบอสจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้อยู่แล้ว กัดฟันของแกให้แน่นละกัน” เขายิ้มเยาะขณะที่กำปั้นขวาของเขาเปล่งประกายไปด้วยมานาที่ไม่มีคุณลักษณะ
เขาเป็นนักเรียนปีสองเช่นกันโดยมีแถบสองแถบบนเน็คไทสีดำของเขา แต่ถึงแม้จะไม่มีคุณสมบัติของธาตุแต่เขาก็อยู่ในขั้นสีส้มเข้มซึ่งสำหรับอายุของเขาถือว่าค่อนข้างดี
มือขวาของอาไลจาห์เปล่งประกาย แหวนสองวงของเขาประกายสีเหลืองสลัวในขณะที่เขากำลังเตรียมร่ายคาถา แต่ฉันสังเกตแล้วว่าเจตนาในการฆ่าที่น่าสมเพชของแจ็คมุ่งตรงมาที่ฉันมากกว่าเพื่อนของฉัน
ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองและเตรียมที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสทำอะไร เถาวัลย์ก็พุ่งออกมาจากพื้นและพันรอบๆตัวแจ็คอย่างแน่นหนา