px

เรื่อง : The Great Mage Returns After 4000 Years
บทที่ 49 อัครสาวก (4)


 

‘เขาเป็นตัวอะไรกันเนี่ย?’

ลุคส์มองเฟรย์ด้วยสายตาประหลาดใจ

แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อมดระดับ 7 ดาวแต่อายุของเขาก็ไม่น่าเกินสามสิบ

มันน่าประหลาดใจ มันก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาเคยเห็นคนสองสามคนในเซอร์เคิลที่มีพรสวรรค์บ้าบอเช่นนี่

แต่เหตุผลที่ลุคส์ตกใจไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของเฟรย์แต่กลับเป็นความสงบที่เขาแสดงออกมาต่างหาก

หืม… ’

ลุคส์เคยเห็นอัจฉริยะสองสามคนมาก่อนและรู้ดีถึงนิสัยของพวกเขามากกว่าคนอื่น ๆ

โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาหยิ่งยโส

คนอื่นๆอาจไม่คิดอย่างนั้นแต่สำหรับลุคส์ที่มีประสบการณ์มากมายแล้วเขาก็ยังพบข้อบกพร่องอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นความประมาทที่เกิดจากความโอหังของพวกเขาหรือจากการขาดประสบการณ์ คนพวกนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องให้เห็นได้อยู่เสมอ

แต่ลุคส์กลับไม่พบสิ่งนั้นในตัวของเฟรย์เลยแม้แต่นิดเดียว

เฟรย์ไม่ได้แสดงความสะเพร่าออกมา

ไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้เขาสอดเข็มได้ มันช่างไร้ที่ติ

นอกจากนี้เฟรย์ยังเป็นเด็กที่ไม่มีแม้แต่ริ้วรอยบนใบหน้า เขาอยู่ในวัยที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตจริงมากนัก

‘นี่…ทำไมมันเหมือนกับว่าฉันกำลังต่อสู้อยู่กับอาร์ชเมจในวัยชราเลย!’

ตราบใดที่เขามีพลังศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้คู่ต่อสู้ของเขาคืออาร์ชเมจระดับ 7 ดาวมันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเลย

ในความเป็นจริงด้วยพลังแห่งสายฟ้าของเขาแม้ว่าจะต้องใช้อาร์ชเมจถึง 3คนในการเผชิญหน้ากับเขามันก็ยังไม่เพียงพอที่จะล้มเขาได้ อย่างไรก็ตามครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นอาร์ชเมจก่อนที่จะกลายเป็นอัครสาวกของเดมิก็อด

ดังนั้นเขาจึงรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของพ่อมดเป็นอย่างดี

เขารู้วิธีหลายสิบวิธีที่เขาสามารถใช้ข้อมูลนั้นเพื่อปรับเปลียนสถานการณ์หรือแม้แต่กดดันฝ่ายตรงข้าม

แต่ดูเหมือนว่าเฟรย์จะนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าวอยู่เสมอ

‘ฉันจะแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้จริงๆเหรอ?’

ลุคส์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ

มิฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถจัดการกับอาร์ชเมจแค่คนเดียวดาร์กเอลฟ์สองคนและหัวหน้าชั้นหอคอยได้

ตูมตามบูม!

ไฟเออร์บอลหล่นลงอีกครั้ง

คาถาไม่สามารถทะลุผ่านเกราะสายฟ้าได้ แต่ลุคส์กลับไม่สามารถซ่อนความรู้สึกที่ไม่ดีที่อยู่ภายในใจได้

เพียงแค่จากการฟังเสียงเขาก็สามารถบอกได้เลยว่าพลังของเวทมนตร์นี้เหนือกว่าพ่อมดระดับ 7 ดาวไปแล้ว

หากไม่มีเกราะสายฟ้าเขาก็จะคงถูกจัดการและนอนกองเลือดไปแล้ว

ลุคส์จับตาดูพฤติกรรมของเฟรย์และให้ความสนใจกับการโจมตีที่ดูเหมือนจะไม่รู้จักจบจักสิ้น

‘ทำไมเขาถึงจงใจใช้คาถาที่มีเสียงดัง? เขาพยายามดึงดูดความสนใจของฉันหรือเปล่า? '

งั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร?

ลุคส์หันมาสนใจทีมของมิเคลที่กำลังเคลื่อนที่เป็นขบวน

พวกเขาพยายามซ่อนมันแต่ลุคส์ก็สัมผัสได้ว่ามานารอบๆตัวพวกเขากำลังสั่น มันรู้สึกเหมือนมานาแห่งลม

ดวงตาของลูคส์เป็นประกาย

“ เจ้าพวกนี้! พวกเขากำลังคิดที่จะกำจัดเมฆฝนด้วยคาถาลม!”

ปัง

ในขณะนั้นความแรงของพายุฝนฟ้าคะนองก็ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงเป็นสองเท่า

เฟรย์เดาะลิ้นของเขา

'เขารู้ตัวเร็วกว่าที่ฉันคาดไว้'

บางทีอาจเป็นเพราะเขาเคยเป็นพ่อมดมาก่อน แต่มันก็ยากสำหรับพวกของเฟรย์ที่จะปกปิดความตั้งใจของพวกเขาได้เป็นเวลานาน

เฟรย์ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในสถานะที่จะประหยัดมานาของเขาได้อีกต่อไป

คาถาที่ทรงพลังที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้ในขณะนี้มาจากคุณสมบัติของไฟและน้ำ

อย่างไรก็ตามคาถาธาตุน้ำจะมีผลเสียและเสริมพลังให้กับสายฟ้า

ดังนั้นจึงเหลือทางเลือกเดียว

ตูม

มานาเริ่มทะยานไปรอบๆตัวของเฟรย์อย่างรวดเร็ว ด้ายมานาสีแดงหลายพันเส้นบินพันรอบๆตัวเขา

ลุคส์ซึ่งให้ความสำคัญกับกลุ่มของมิเคลอยู่นั้นถึงกับตัวสั่นโดยไม่สมัครใจ

“ มะ - มานามากขนาดนั้น! เจ้าหน้าอ่อนนั้น! แกเป็นใครกัน?”

เฟรย์ไม่ตอบเขา

คาถาที่เขาเตรียมที่จะใช้นั้นมีพลังทำลายล้างสูงที่สุดในบรรดาคาถาระดับ 7 ดาว

เฟรย์ต้องการเพิ่มความเสียหายจากคาถานี้ให้มากที่สุด

ลุคส์เหวี่ยงมือของเขา

ตูม!

สายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้าและหอกที่ทำจากสายฟ้าก่อตัวขึ้นภายในพายุฝนฟ้าคะนองก่อนที่จะบินเข้าไปหาเฟรย์

แต่ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้นเฟรย์ก็เปิดปากของเขา

“ ลาวาบราส ”

ตูมตามบูม!

มีเสียงระเบิดครั้งใหญ่ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของลุคส์ขณะที่เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่รุนแรงเพราะมือขวาของเขาถูกไฟลวก

“ อ๊าก!”

ความเจ็บปวด?

ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างงั้นหรือ?

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากลายมาเป็นอัครสาวก ลุคส์แทบไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเกราะสายฟ้าของเขาจะถูกทำลาย

ลุกส์กัดริมฝีปากล่างอย่างแรงจนเลือดออกด้วยความที่จะพยายามบังคับควบคุมจิตใจของเขาซึ่งรู้สึกเหมือนว่ามันจะทำให้สติของเขาดับไปเพราะความเจ็บปวดที่รุนแรง

‘ลาวาบราส! คาถานี้อันตรายจริงๆ! ’

แขนขวาของเขาเกือบจะหายไปเกือบหมดและเขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากบริเวณนั้น

ในเวลานี้ร่างกายของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยรอยไหม้ที่น่ากลัวและในไม่ช้าและเขาจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมสายฟ้า

ด้วยใบหน้าที่ดุร้ายของเขาลุคส์จึงตัดมือขวาที่เหลือออกด้วยสายฟ้า

“ แก …แก…ทะลุผ่านเกราะสายฟ้า...”

มันเป็นเวทย์ที่ทรงพลังมากจนไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นแค่เวทมนตร์ระดับ 7 ดาว

อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่ลุคส์ไม่รู้

เวทมนตร์ไฟของเฟรย์ได้รับการเสริมพลังหลังจากการใช้ยาอายุวัฒนะและจากนั้นพลังของเขาก็ถูกขยายโดยไม้เท้าแห่งมหานักปราชญ์

เฟรย์เองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเช่นกัน เพราะในขณะนั้นเขารู้สึกเวียนหัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่เพียงแค่นั้น

‘ระบบประสาทของฉันเริ่มร้อนเกินไป’

เขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ในสภาพปัจจุบันของเขา

รู้สึกดีจริงๆที่ได้ทะลวงเกราะสายฟ้าและพุ่งพลังเวทย์เข้าใส่เขาจังๆ แต่ตอนนี้เขาจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไปสักครู่

อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการต่อสู้ต่อไปของเขาจะหายไปโดยสิ้นเชิง

เฟรย์ตั้งท่าที่เขาเรียนรู้จากราชานักรบเวทมนตร์

"แก…!"

ลุคส์ใช่มือข้างหนึ่งที่เขาเก็บไว้และสายฟ้าก็เริ่มไหลผ่านปลายนิ้วของเขา

'แม้ว่าเขาจะเห็นการโจมตีนี้และพยายามหลบมัน มันก็จะสายเกินไป'

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าเฟรย์ให้ความสำคัญกับนิ้วของเขา

วิ้ง

“ …!”

เมื่อเฟรย์หลบการโจมตีของสายฟ้าที่ฟาดออกมาเป็นชุด ดวงตาของลูคส์ถึงกับเบิกกว้าง

การเคลื่อนไหวที่เขาเพิ่งแสดงให้เห็นนั้นรวดเร็วมากจนเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเฟรย์เป็นพ่อมด

ลุคส์ไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการถึงตัวตนของชายตรงหน้าได้

อาร์ชเมจระดับ 7 ดาวที่มีทักษะและความสงบที่ไม่ตรงกับอายุของเขาแถมยังมีทักษะศิลปะการต่อสู้แบบนักรบเวทย์

“ แกเป็นตัวอะไรเนี่ย…!”

“ ฉันเป็นมนุษย์”

“ กะ...แกเป็นมนุษย์เหมือนฉันจริงๆหรือ?”

“ อย่าเข้าใจผิดไป”

"อะไร?"

“ แกมันไม่ใช่มนุษย์!”

เฟรย์ลดระยะห่างของลุคส์อย่างรวดเร็ว

เกราะสายฟ้ายังคงค่อยๆฟื้นตัว แต่ตราบใดที่เขาอยู่ใกล้พอ มันก็ง่ายต่อการโจมตีระหว่างช่องว่างของเกราะเพื่อให้โดนตัวของลุคส์

ป้าบ!

“ อัก!”

หมัดของเฟรย์โดนคางของลุคส์

แตก

ความรู้สึกที่กระดูกขากรรไกรของเขามันช่างคล้ายกับแป้งและมันก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน

ถ้าหากเป็นคนธรรมดาๆพวกเขาคงจะหมดสติไปนานแล้วจากการกระแทกคางในครั้งนั้น

และพวกเขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่รอดได้โดยการกินโจ๊กเท่านั้น

มันเป็นชีวิตที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง แต่เฟรย์จะไม่รู้สึกสงสารชายตรงหน้าเลย

ป้ากๆ!
ป้ากๆ!
ป้ากๆ!

การโจมตีของเฟรย์พุ่งเข้าใส่ลุคส์อย่างช้าๆ แต่ละหมัดที่เขาปล่อยออกไปไม่ได้เบาเลย

มันมีน้ำหนักที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีในแต่ละครั้ง

เฟรย์ไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นอัครสาวกมานานแค่ไหน แต่เฟรย์รู้ว่าเขาน่าจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในฐานะพ่อมด ดังนั้นเขาเลยไม่มีประสบการณ์มากนักเมื่อต้องต่อสู้ในระยะประชิด

ตามที่เฟรย์คาดไว้ลุคส์ไม่สามารถตัดสินใจกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมเพราะสมองของเขาสั่นไหว

แน่นอนว่าสถานการณ์เชิงบวกนี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน

เสียงแตก

ในเวลานั้นเกราะสายฟ้าก็ฟื้นตัวเต็มที่และสายฟ้าก็กระแทกเฟรย์จนกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง

ร่างของเฟรย์ลอยไปไกลหลายสิบเมตรเพราะแรงกระแทกก่อนที่จะล้มลงสู่พื้น

"อัก…"

เขากระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง

เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่อยู่บนศีรษะและดูเหมือนว่าเขาจะมีแผลอยู่บนหน้าผาก

เขากัดลิ้นตัวเองด้วยหรือเปล่า?

เขาได้ลิ้มรสของดินและเลือดอยู่ในปากของเขา

เฟรย์มองไปที่ลุคส์ขณะที่พ่นเลือดออกมา

สภาพของเขาแย่มากพอที่จะเรียกเขาว่าเป็นซากศพและมันก็ไม่ได้เกินจริงเลย เขาดูน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ

“ ฉันจะไม่…ให้อภัย…”

มันเยี่ยมมากที่เขาสามารถพูดได้ด้วยกรามที่ถูกทุบนั้น

แม้ว่าการออกเสียงจะผิดไปเล็กน้อยแถมยังแหบ แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

เฟรย์ชื่นชมลุคส์ในด้านของพลังใจ

ทุกครั้งที่คางของเขาขยับเขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

“ มันสายไปแล้ว”

"อะไรนะ…?"

“ พวกเราชนะแล้ว”

วูม!!

ในขณะนั้นอากาศที่โหมกระหน่ำอย่างหนักก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

ดวงตาของเฟรย์ส่องประกายแวววาว

"เฮาลิ้งเทมเพส"

มันมีพลังอำนาจมาก

นี่เป็นเรื่องปรกติ คนสามคนที่ร่ายเวทย์ด้วยกันเป็นเวลาสอง-สามนาที มันก็ไม่แปลกถ้าหากมันจะมีพลังอย่างน้อยในระดับนี้

เมฆฝนฟ้าคะนองถูกพัดพาไปโดยลมแรงและในขณะเดียวกันเกราะสายฟ้าที่ปกป้องลุคส์ก็ค่อยๆจางหายไปก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์

ลุคส์คุกเข่าลงพร้อมกับใบหน้าที่ว่างเปล่า

“ นี้..มันไม่สมเหตุสมผลเลย”

พายุฝนฟ้าคะนองได้จางหายไปและแสงของดวงอาทิตย์ก็ตกถึงพื้นอีกครั้ง

เฟรย์ไม่ละสายตาจากลุคส์ที่กำลังก้มหน้าด้วยความเหนื่อยล้า

"พวกเราชนะแล้ว!"

เลียมสันตะโกนออกมาด้วยความดีใจ คามิลล์ถอนหายใจอย่างโล่งอกและมิเคลยังมีความรู้สึกที่สับสน

“ ออเนอลุคส์ …คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้”

เฟรย์เดินช้าๆไปยังออเนอลุคส์ซึ่งกำลังน้ำลายไหลด้วยดวงตาที่งุนงง

“ ฉัน…อัครสาวกอย่างฉันแพ้…”

“ …ออเนอลูคส์ทำไมคุณถึงหักหลังเรา?”

ลูคส์เหลือบมองมิเคลก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ ฮะฮะ แกไม่อยากรู้หรือ ใครก็ตามที่ได้เห็นพวกเขาด้วยตาตัวเองก็ต้องหมดกำลังใจกันทั้งนั้นแหละ เซอร์เคิล? เจตจำนงของเหล่าวีรบุรุษ? แล้วไงล่ะ? ในที่สุดมนุษย์ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์เท่านั้น”

“ แกเลยเลือกที่จะกระดิกหางงั้นเหรอ? แกเลือกที่จะละทิ้งความภาคภูมิใจในฐานะพ่อมดและหน้าที่ของแกในฐานะสมาชิกของเซอร์เคิลเพื่อที่จะได้กลายมาเป็นหมา?”

ขณะที่เลียมสันมองเขาอย่างดูถูกลุคส์ก็ส่ายหัว

“ แก…พวกแกทุกคนไม่รู้อะไรเลย!”

ดวงตาที่บ้าคลั่งของเขาหันไปหาเฟรย์

“ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะทรงพลังเพียงใดก็ไม่ต่างอะไรจากแมลงเลย! แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติกับเราเหมือนแมลง! เขาสัญญากับฉันว่าฉันจะรอด! เขาบอกว่าเขาจะพัฒนามนุษย์ให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงขึ้น! เห็นมั้ย?! แกต่างหากที่เป็นคนขัดขวางความก้าวหน้าของมนุษยชาติอย่างแท้จริง!”

“ อาจจะมีเดมิก็อดที่คิดแบบนั้นอยู่ก็ได้”

เฟรย์พูดคำเหล่านี้อย่างเย็นชาซึ่งทำให้ลุคส์ตัวสั่นโดยไม่สมัครใจ แม้แต่แสงแห่งความบ้าคลั่งในดวงตาของเขาก็ดูเหมือนจะหยุดชะงักด้วยความโกรธที่เขารู้สึกได้

“ อาจจะมีเดมิก็อดที่คิดอย่างที่แกบอก เดมิก็อดที่ต้องการพัฒนาและต้องการปกป้องมนุษย์ แต่แกคิดว่าพวกเขาทำไปเพราะความรักที่มีต่อมนุษย์จริงๆหรือ? แกคิดว่าพวกเขาติดต่อกับเราเพราะต้องการเข้าใจมนุษย์จริงๆหรือ?”

“ ถ - ถูกต้อง…!”

“ แกต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย”

คริก

เฟรย์กัดฟันเข้าหากัน

“ สำหรับเดมิก็อดแล้ว ทั้งหมดนี้มันเป็นแค่เกม พวกเขาสนุกกับการเลี้ยงดูและพัฒนามนุษย์เพื่อเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง แกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกมจบลง? แกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอารยธรรมขั้นสูงเมื่อพวกเขาหมดความสนใจและเบื่อ?”

“ อึก ... ”

ขณะที่เฟรย์ก้าวไปข้างหน้าลุคส์ก็ถอยห่างออกไป อย่างไรก็ตามเฟรย์ไม่ได้หยุดเดิน

“ พวกเขาจะพลิกกระดานยังไงละพวกเขาจะรีเซ็ตมัน คำมั่นสัญญาความก้าวหน้าและอนาคตเป็นสิ่งที่พวกเขามักจะอ้างแม้ว่ามันจะฟังดูดีก็ตาม แต่แกต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเดมิก็อดเบื่อหน่ายกับการเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ของมนุษย จะเกิดอะไรขึ้นกับเผ่าพันธุ์ที่ยอมเชื่อฟังพวกเขามาตลอดนะหรือ?”

เฟรย์เคยพยายามทำความเข้าใจพวกเดมิก็อดมาก่อน

มีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาเชื่อจริงๆว่าอาจมีคนที่ดีอยู่ในหมู่ของพวกเขาที่พยายามช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆ

แต่ไม่มีเลย

สำหรับพวกเขาทุกอย่างเป็นเพียงความบันเทิง

มีกี่อารยธรรมและเผ่าพันธุ์ที่หายไปด้วยน้ำมือของพวกเขา?

พวกเขาไม่คิดที่จะนับจำนวนเผ่าพันธุ์ที่ทำลายลงไปเลยด้วยซ้ำ และไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ก่อนที่จะกลายเป็นซากฝุ่น

เสียงของเดมิก็อดนั้นเป็นเรื่องโกหก

พวกเขาอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังหลอกพวกมนุษย์อยู่

เสียงแตก

เปลวไฟปรากฏขึ้นเหนือมือของเฟรย์

มิเคลสะดุ้งและหยุดเขา

“ คุณ - คุณกำลังจะทำอะไร?”

“ เราปล่อยเขาไปไม่ได้ เราต้องทำให้มันจบลงที่นี่”

การจับกุมจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้

แต่เฟรย์ไม่มีความมั่นใจในความสามารถของเขาในการควบคุมตัวลุคส์ในขณะที่ต้องรับมือกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาไม่รู้จัก

แน่นอนว่าการจับเป็น ทรมานและดึงข้อมูลจากเขาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ความเสี่ยงก็สูงเกินไป

เฟรย์ไม่มีเจตนาที่จะเสี่ยงกับการพนันในครั้งนี่

“ คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นใช่ไหม? เขาหมดความตั้งใจที่จะต่อสู้แล้ว คุณกำลังตัดสินใจได้ไม่ดีเพราะคุณกำลังโกรธ”

“ หัวหน้าชั้นมิเคล คุณคิดว่าใครกันแน่ที่ดูสถานการณ์ไม่ออกในตอนนี้?”

“ อะ- อะไรนะ?”

สายตาเย็นชาของเฟรย์หันไปหามิเคล

“ คุณยังเห็นเขาในฐานะลุคส์รองหัวหน้าหอคอย คุณคิดว่าเขาฆ่าคนมากี่คนเพื่อให้ได้เป็นอัครสาวก? คุณลืมเรืองในโฮลบริดจ์ไปแล้วหรือ?”

“ แต่…”

ตอนนั้นเอง

ลุคส์ที่เงียบมาจนถึงตอนนี้ได้คว้าข้อมือของมิเคลไว้ในพริบตา

มิเคลและลุคส์อยู่ใกล้กันมากจนเฟรย์ซึ่งให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอดเวลาก็ยังไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา

"รองหัวหน้าลุคส์?! นี่มันอะไร…”

“ ฉันจะพาแกแกและพวกแกลงนรกไปพร้อมกับฉัน!”

“ เอ่อ!”

"บ้าเอ่ย! ทุกคน! หนีไป!”

เฟรย์รีบคว้าตัวเลียมสันและคามิลล์ก่อนจะเปิดใช้งานต่างหูไต้ฝุ่นของเขา

บึ้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นทันทีหลังจากนั้น

รีวิวผู้อ่าน