ตอนที่ 3 หลี่ฟู่กุยผู้ไม่น่าไว้ใจ
ในร้านอาหาร...
แมวเฒ่าสั่งสเต๊กหนึ่งจาน สลัดหนึ่งจาน และไวน์ขาวราคาถูกอีกครึ่งจิน
“เต็มที่เลย...ไม่ต้องเกรงใจ” ฉินอวี่กล่าวอย่างสุภาพแต่ในใจไม่ได้หมายความเช่นนั้น
“ไม่เป็นไร นายเพิ่งมาทำงาน ยังไม่ได้ค่าจ้างเลย สั่งแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
แม้แมวเฒ่าจะดูเป็นคนโผงผาง แต่ลึกๆ แล้วกลับใจดี เขาถูฝ่ามือพลางหันไปหาฉินอวี่และถาม “ฉันได้ยินว่านายมาจากเขตพัฒนาเหรอ?”
“อืม” ฉินอวี่พยักหน้า
“ที่นั่นคงลำบากมากสิท่า?”
“ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แค่ต้องปรับตัวให้ได้” ฉินอวี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้านายชินกับมันได้...อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด”
“คงงั้น”
“…”
เนื่องจากพวกเขามีอายุไล่เลี่ยกัน ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัย นอกจากนี้ ทั้งสองยังเป็นคนร่าเริงและตลกจึงสนิทสนมกันได้เร็ว
ในระหว่างการสนทนา ฉินอวี่สังเกตท่าทางและคำพูดของฉีหลินอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบใจนักที่แมวเฒ่าได้รับตำแหน่งที่สูงกว่าทั้งๆ ที่มาทีหลัง
เมื่อได้รับอาหาร ฉินอวี่ยกแก้วขึ้นและกล่าว “ว่ากันว่าคนที่ร่วมโต๊ะกินข้าวกันไม่ต่างอะไรจากสหาย ฉะนั้นเราสามคนถือเป็นเพื่อนสนิทที่ต้องคอยดูแลกัน!”
“ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องดูแลเลย ถ้านายมีความสามารถก็จะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่...ก็เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ถึงแม้จะมีคนหนุนหลังก็ตาม” แมวเฒ่ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
จากนั้นเขายกแก้วขึ้นและกล่าวเสริม “นายพูดถูกที่บอกว่าเราควรเป็นเพื่อนสนิทที่ต้องดูแลกัน...นายกล้าแข็งข้อต่อหัวหน้าการสามและพวก ฉะนั้นเราเป็นเพื่อนกันได้!”
“เฮ้ ชน!” ฉินอวี่หัวเราะ
“ชน!”
“ชน!”
ทั้งสามจิบไวน์
“มา! ดื่มอีก!” ฉีหลินเช็ดปากพร้อมหยิบขวดไวน์ขึ้นเติมให้แมวเฒ่า “พี่...เรื่องที่ผมเคยบอกตอนนั้นพอจะเป็นไปได้ไหมครับ?”
แมวเฒ่ากลอกตาเมื่อได้ยินพลางหยิบสเต๊กใส่ปากก่อนจะกล่าวว่า “นายพูดไม่ถูกเวลาจริงๆ ไม่เห็นหรือไงว่าฉินอวี่กำลังสร้างความสัมพันธ์กับเราอยู่ ไม่เกรงใจเขาหน่อยเหรอ?”
ฉีหลินไม่ได้ละอายกับคำพูดเหล่านั้น เขาเกาหัวพลันพูดว่า “พอดี...ช่วงนี้ฉันถังแตกน่ะ”
“โอ๊ย! นายก็ถังแตกตลอดนั่นแหละ!” แมวเฒ่าขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวพลางคีบเนื้อวัวใส่ปาก “เฮ้อ...ฉันถามให้แล้ว แต่ฝ่ายธุรการตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งว่าง อยากเลื่อนตำแหน่งก็อธิษฐานเอาแล้วกัน ถ้าทำไม่ได้ก็รอต่อไป”
ฉินอวี่จึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมนายถึงอยากได้งานธุรการ?”
“เพราะขี้ขลาดยังไงล่ะ” แมวเฒ่าตอบ “จากการรายงานของปีที่แล้ว สำนักงานตำรวจสูญเสียสมาชิกสามสิบห้ารายภายในเวลาเพียงหกเดือน มันอันตรายจนเขารู้สึกไม่อยากอยู่หน่วยที่หนึ่ง จึงพยายามหางานที่ปลอดภัยกว่านี้”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี่ดูไม่ได้ตกใจกับคำพูดเหล่านั้น เพราะเมื่อเทียบกับเขตพัฒนาแล้ว...เขตปกครองพิเศษที่เก้าถือเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมาก
แมวเฒ่ามองไปยังฉีหลินด้วยสายตาเหยียดเล็กน้อย “ต้องเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว ถ้านายไม่ผลักดันหรือพยายามปรับตัว แล้วจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้เมื่อไร? ต่อให้นายไปอยู่ฝ่ายธุรการแต่ไม่มีใครคอยหนุนหลังให้ ก็ไม่มีประโยชน์! ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลา ถ้าทำไม่ได้ก็โดนกดดันให้ลาออก นี่คือช่วงเวลาในการสร้างฮีโร่!”
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องไกลตัวเลย ดูอย่างพี่ชายของหยวนเค่อสิ ก่อนเขตปกครองพิเศษที่เก้าจะก่อตั้ง เขาไม่ได้มียศอะไร แต่หลังเกิดภัยพิบัติก็ได้รับตำแหน่งสูงจนตอนนี้ไม่มีใครในพื้นทมิฬกล้ายั่วโมโหด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีเมียมากถึงหกคน ทั้งที่ไม่ได้พึ่งพาหรือได้รับการสนับสนุนจากใคร!”
“ฉันเทียบเขาไม่ได้หรอก” ฉีหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ปลอดภัย...มีรายได้มากพอให้เลี้ยงดูแม่และน้องสาว”
“แล้วพยายามเต็มที่หรือยัง?” แมวเฒ่าถามด้วยความผิดหวัง “เหตุผลที่ฉันอยากให้นายเข้าหมวดหนึ่งเพื่อจะได้มีโอกาสไต่เต้าขึ้นเป็นใหญ่ แต่กลับใช้เวลาทั้งวันไปกับการซักถุงเท้าและเสิร์ฟชาให้คนอื่น...ดูตัวเองสิ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอื่นถึงข้ามหัวนายไปถึงไหนกันแล้ว ส่วนนายยังอยู่ที่เดิม”
ฉีหลินนั่งคอพับและฟังเงียบๆ
“เฮ้อ ขี้ขลาดขนาดนี้ พ่อนายก็ยังตั้งชื่อว่าฉีหลิน...แล้วทำไมแม่ถึงตั้งชื่อฉันว่าหลี่ฟู่กุย ในเมื่อฉันโดดเด่นที่สุด? ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน?” แมวเฒ่าส่ายหัวและถอนหายใจ
“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า” ฉินอวี่พูดแทรก
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีหลินก็เลิกพูดเรื่องย้ายหน่วยงานทันทีและหันมาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระจนเวลาล่วงเลยไป
เวลาสามทุ่ม ฉีหลินดูข้อความในโทรศัพท์ของเขาก่อนจะพูดว่า “ฉันต้องกลับแล้ว...พอดีที่บ้านมีปัญหานิดหน่อย ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“จะไม่ดื่มอีกหน่อยเหรอ?” ฉินอวี่ถาม
“ไม่ล่ะ ฉันต้องไปแล้วจริงๆ”
“งั้นเดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
“ไม่ต้อง...ฉันไปเองได้”
“เดินระวังด้วยล่ะ”
“โอเค”
ฉีหลินหยิบโทรศัพท์และออกจากร้านทันที ขณะที่ฉินอวี่กับแมวเฒ่ายังคงนั่งดื่มอยู่
“แมวเฒ่า เรานั่งดื่มด้วยกันได้แสดงว่าเราคือเพื่อนกัน” ฉินอวี่พูดก่อนจะแนะนำด้วยใบหน้าแดงก่ำ “อย่าดุฉีหลินเลย พูดดีๆ กับเขาก็ได้”
“ฉันดุเหรอ? แค่อยากให้เขาคิดได้!” แมวเฒ่าตบโต๊ะด้วยความกระวนกระวายใจก่อนจะพูดว่า “ถ้ายอมคุกเข่าให้ใครแล้ว นายจะไม่มีวันลุกขึ้นยืนได้อีก เข้าใจไหม?!”
ฉินอวี่ไตร่ตรองถึงคำพูดของแมวเฒ่าพลางพยักหน้าตอบรับ
“ฉีหลินเป็นเพื่อนคนเดียวของฉันในสำนักงานตำรวจ ฉันกังวลทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นแบบนี้” แมวเฒ่าส่ายหัวพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะ เลิกพูดถึงเขาได้แล้ว เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า”
“เรื่องสำคัญอะไร?” ฉินอวี่ถาม
“ฉันเล็งผู้หญิงคนนั้นมาสักพักแล้ว ดูเหมือนหล่อนไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายพวกนั้น” แมวเฒ่ากระซิบ “ฉันว่า...ฉันเข้าไปทำความรู้จักกับหล่อนได้”
ฉินอวี่ถามอย่างงุนงง “ผู้หญิงคนไหน?”
“ทำไมนายถึงซื่อบื้อขนาดนี้เนี่ย? ก็คนที่ลงจากรถจี๊ปเมื่อกี้ไง!” แมวเฒ่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นายว่าเธอไม่สวยเหรอ? มองหน้าทีไรก็ใจละลายทุกที เฮ้อ สวยราวกับดาราที่สูงๆ ขายาวๆ ชื่ออะไรนะ อ๋อ...จอนจีฮยอนไง!”
เม็ดเหงื่อเริ่มไหลลงหลังของฉินอวี่ “ห้ามใจตัวเองหน่อย นายเพิ่งจะบอกว่าโลกกำลังวุ่นวายไม่ใช่เหรอ?”
“นายจะคิดมากทำไม? ฉันแค่ลองดู!” แมวเฒ่าถูฝ่ามือก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง
…
ด้านนอก
ฉีหลินยืนอยู่ริมถนนพลางหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาสองอัน และลังเลอยู่นานก่อนจะโทรหาฉินอวี่ แต่จู่ๆ เขาก็จำได้ว่าโทรศัพท์ของฉินอวี่ที่เพิ่งซื้อมายังไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบของสำนักงาน ดังนั้นเขาจึงโทรหาแมวเฒ่าแทน
ภายในร้านอาหาร
แมวเฒ่าจัดทรงผมก่อนจะเดินไปยังโต๊ะข้างหน้าต่างพลันยิ้มให้หญิงที่นั่งตรงนั้นและถามว่า “สวัสดีครับคุณคนสวย มาทานข้าวกับครอบครัวเหรอครับ?”
หญิงผู้นั้นหันหน้ามาหาเขาอย่างงุนงงและถามว่า “คุณ...มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ผมเป็นผู้อำนวยการรายการสตาร์โฮร์สและกำลังเฟ้นหาพิธีกรหน้าใหม่ คุณสนใจไหม?” แมวเฒ่าโกหกอย่างแนบเนียน
หญิงสาวเมื่อได้ยินก็ตื่นเต้น ก่อนจะถามแมวเฒ่าอย่างกระตือรือร้น “คุณมาจากสถานีโทรทัศน์จริงเหรอคะ? บังเอิญจัง! ฉันกำลังเรียนรู้วิธีการจัดรายการอยู่พอดีเลย!”
แมวเฒ่าไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะสนใจ เขาโกหกต่อด้วยแววตาใสซื่อว่า “เยี่ยมเลย! ผมขอเบอร์ได้ไหมครับ? เผื่อจะได้ติดต่อพูดคุยรายละเอียดงาน”
แมวเฒ่ายื่นโทรศัพท์ของเขาให้หญิงสาวขณะพูด
หญิงสาวรับโทรศัพท์ไปและเริ่มกดเบอร์โทร
“พรึ่บ!”
ชายตัวเล็กวัยกลางคนจับแขนของหล่อนทันที “เอาโทรศัพท์คืนเขาไปแล้วรีบกิน!”
“แต่คุณลุงคะ...ฉันสนใจงานนี้...” หญิงสาวผู้นั้นเงยหน้ามองและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ฉันบอกให้เอาโทรศัพท์คืนเขาไป” ชายคนนั้นย้ำคำเดิม
แมวเฒ่ามองชายผู้นี้และยิ้มให้ “ผมมาจากสถานีโทรทัศน์จริงๆ นะครับ คุณไม่ต้องกังวล ผมไม่มีเจตนาร้าย”
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้แมวเฒ่าและพูดว่า “ฉันคงต้องปฏิเสธ ขอโทษด้วยนะคะ”
แมวเฒ่ากำลังตื่นเต้นที่หญิงสาวให้ความสนใจ จู่ๆ ‘ก็อบลิน’ ผู้ไร้ความรู้สึกก็เข้ามาแทรกและทำให้แผนทั้งหมดพัง แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ
“ฉันคงต้องปฏิเสธโอกาสดีๆ นี้ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวยืนกรานในคำตอบ
แมวเฒ่ายืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปยังหญิงสาวและพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “งั้น...ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ”
…
ไม่กี่นาทีต่อมา...
แมวเฒ่ากลับมานั่งที่โต๊ะของเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“เป็นไงบ้าง...ได้เบอร์มาแล้วเหรอ?” ฉินอวี่ถามขณะคีบเนื้อเข้าปาก
แมวเฒ่ากะพริบตาพลันเตะขาฉินวี่ก่อนจะกล่าวว่า “ดูข้างล่างสิ”
ฉินอวี่ก้มลงใต้โต๊ะ แมวเฒ่าก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับเขาพร้อมกระซิบว่า “ดูที่หน้าจอ”
ฉินอวี่มองไปยังโทรศัพท์และเห็นตัวเลข ‘959595’ บนหน้าจอ
“หมายความว่าไง?” ฉินอวี่ถามด้วยความงุนงง
แมวเฒ่าจับหน้าของเขาและตอบว่า “โถ่เอ๊ย...ก็หมายความว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายไง”
“แล้ว...ที่นายกำลังจะบอกคือ?”
“หญิงผู้นี้ไม่ได้เป็นเพื่อนกับชายพวกนั้น ก่อนหน้านี้เธอสะกิดขาฉัน” แมวเฒ่าคว้าโทรศัพท์คืนขณะดื่มไวน์ “ฉันไม่รู้ว่าผู้ชายสี่คนนี้เป็นใคร มีประวัติอย่างไร...แต่ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ผู้หญิงคนนี้ถึงขอความช่วยเหลือ!”
บริเวณโต๊ะข้างหน้าต่าง ชายวัยกลางคนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือและพูดกับเพื่อนว่า “ไอ้นั่นแค่บังเอิญเข้ามาทักหรือตั้งใจมาขู่ขวัญเรากันแน่?”
“ไม่รู้สิ” เพื่อนของเขาตอบ
“เขาดูเป็นคนค่อนข้างเซ่อซ่านะ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก” ชายวัยกลางคนกล่าวขณะมองไปยังแมวเฒ่าอย่างไม่สบายใจ “ไปกันเถอะ ไม่มีเวลาแล้ว”
“ได้” เพื่อนของเขาพยักหน้าก่อนจะหันไปหาหญิงสาวและกล่าวว่า “อย่าก่อเรื่องและเชื่อฟังพวกฉันไว้!”
เธอเหงื่อตกพลันเหลือบมองแมวเฒ่าอย่างสุขุมก่อนจะพยักหน้า
…
ไม่นานนัก
แมวเฒ่าถูแก้มของเขาด้วยความหงุดหงิดและกระซิบฉินอวี่อย่างกระวนกระวาย “เอาไงดี? เราจะเข้าไปช่วยเธอไหม?”
“บรื้น!!”
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีรถยนต์ไฟฟ้าแล่นเข้ามาจอดหน้าร้านอาหาร!
………………………………………………..