px

เรื่อง :
เล่มที่ 2 บทที่ 24 - โลกที่แสนแปลกประหลาด


เล่มที่ 2 บทที่ 24(ตอนที่6) - โลกที่แสนแปลกประหลาด

 

"การประลองรอบที่ 3!! เถิงโย่งเซียงและหลี่ จินฟู ทั้งสองคนโปรดขึ้นไปบนลานประลองด้วย"ชายชรากล่าวขณะกำลังก้าวเดินด้วยไม้เท้า

 

เถิงชิงซานเฝ้ามองดูหลี่ จินฟูอย่างตั้งใจ

 

"ดวงตาของหลี่ จินฟูเต็มไปด้วยความอำมหิตชั่วร้ายเฉกเช่นเดียวกับสายตาของสัตว์ร้าย"เถิงชิงซานเริ่มเป็นกังวลเรื่องของท่านลุงของเขา

 

"โย่งเซียง โปรดระมัดระวังด้วย ขณะต่อสู้กับเขาอย่าห่างจากตัวเขามากเกินไปล่ะ"เถิงโย่งฟ่านพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ "แขนของเขาทรงพลังไม่ต่างจากตัวข้า" พละกำลังแขนของเถิงโย่งฟ่านเองถือได้ว่าเป็นพลังลำดับที่หนึ่ง ของหมู่บ้านเถิง ถ้าหากว่าเถิงโย่งฟ่านเป็นคนกล่าวด้วยตัวเองว่าพลังของจินฟูนั้นอยู่ในระดับเดียวกับเขา ผู้คนก็เริ่มสามารถจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของศัตรูได้

 

" รับทราบ"เถิงโย่งเซียงพยักหน้าตอบรับ

 

ฝูงชนนับพันคนตกอยู่ในสภาวะเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเป็นเสียงแม้แต่น้อย

 

 หลี่ จินฟูมองไปที่เถิงโย่งเซียงด้วยสายตาที่หนักแน่น ในขณะที่เขาเองก็กำลังเดินขึ้นไปสู่ลานประลองพร้อมกับตะโกนเสียงทุ้มต่ำที่ดังกึกก้องออกมาว่า "เจ้าควรจะรีบๆขึ้นมาซะ!!!"

 

เถิงโย่งเซียงขมวดคิ้วพร้อมกับดวงตาที่แคบลง ขณะที่เขาเข้าสู่ลานประลอง เขาก็เริ่มจับจ้องไปยังศัตรูของเขา บรรยากาศโดยรอบทำให้เหงื่อเม็ดโตปรากฏขึ้นบนหน้าผาก

 

"พวกเจ้าทั้งสองคน เริ่มต้นการประลองได้"สิ้นสุดเสียงตะโกนของชายชรา หลี่ จินฟูก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที

 

"ย๊ากกกกกกกก!!!"

 

 หลี่ จินฟูโห่ร้องคำรามราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังหิวโหย ก่อนจะเริ่มวางฝ่ามือแล้วหัวเข่าสู่พื้นดินซึ่งมีท่าทางคล้ายกับเสือภูเขา ก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าหาเถิงโย่งเซียง กล้ามเนื้อทุกส่วนขยายกว้างทำให้เห็นสัดส่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า ในตอนนี้หลี่ จินฟูดูใหญ่โตลราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง

 

"เร็วมาก!!"เถิงโย่งเซียงรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว "ข้าวางแผนที่จะใช้ความรวดเร็วที่ข้ามีเพื่อต่อสู้กับเขา แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นี่เขาเร็วกว่าข้าได้อย่างไร"

 

" ย๊ากกกกก!!!"เถิงโย่งเซียงเลือกที่จะพุ่งกระโดดหลบ ในขณะที่กรงเล็บของหลี่ จินฟูกำลังพุ่งเข้าไปตัดกลางลำตัวเถิงโย่งเซียง

 

หลังจากที่ลงสู่พื้นดิน หลี่ จินฟูก็รีบพลิกตัวก่อนที่สายตาของเขาจะค่อยๆเริ่มแสดงให้เห็นถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่กำลังพวยพุ่ง

 

หลี่ จินฟูเอามือของเขาลงสู่พื้นดินและกระโดดอีกครั้ง คราวนี้มือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้นคล้ายกับค้อนและพุ่งเข้าไปหาเถิงโย่งเซียงอย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่าเถิงโย่งเซียงจะมีเวลาไม่มากพอที่จะสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของศัตรูได้

 

"ปัง!!"

 

"ปัง!!"

 

"ปัง!!"

 

การโจมตีที่รุนแรงทั้ง 3 ครั้งของหลี่ จินฟูปะทะเข้ากับร่างของเถิงโย่งเซียง ส่งผลให้เถิงโย่งเซียงบินลอยละลิ่วออกนอกเส้นวงแหวนการประลอง พร้อมกับเลือดที่กลบปาก

 

"โย่งเซียง" เถิงโย่งฟ่านที่กำลังอุ้มเถิงชิงซานรีบวิ่งเข้าไปหาเถิงโย่งเซียงอย่างรวดเร็ว

 

"ท่านลุง!!"เถิงชิงซานเองก็จ้องมองท่านลุงของเขาด้วยสายตาที่ห่วงใย

 

"อย่าได้เป็นห่วง ข้าไม่ได้คิดจะสังหารท่านลุงของเจ้า ข้ายังคงมีความปรานี ข้าจึงใช้พลังเพียงแค่ครึ่งเดียวมิฉะนั้นหมัดของข้าคงจะส่งเขาไปโลกหน้าตั้งแต่อยู่บนลานประลองแล้วล่ะ"เสียงของหลี่ จินฟูเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง ในขณะที่เขาจ้องมองเถิงโย่งฟ่านพร้อมกับกล่าวว่า "เจ้าฝึกฝนมาดี…..คงจะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะสามารถประลองกับข้าได้"

 

เถิงโย่งฟ่านเงยหน้าขึ้นมอง

 

หลี่ จินฟูสูงประมาณ 8 ฟุต เขายังคงจ้องเขม็งมาทางเถิงโย่งฟ่านพร้อมกับกล่าวว่า "ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน เจ้าจะยังคงไร้อนาคตถ้าหากยังอยู่ในหมู่บ้านเถิงเจียงนี้ต่อไป"จากนั้นเขาก็หันกลับไปหยิบกระบองยักษ์ขึ้นมาพาดไว้บนบ่าก่อนจะเดินจากไป

 

คนของหมู่บ้านหลี่เจียก็เริ่มเคลื่อนไหวไปทางเดียวกับทางที่ชายผู้นั้นเดินออกไป

 

"หมู่บ้านหลี่เจียเป็นฝ่ายชนะในรอบที่ 3 การประลองเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ละหมู่บ้านชนะคนละหนึ่งรอบและเสมอกัน 1 ครั้ง ดังนั้นผลลัพธ์จึงขอให้ยึดตามกฎที่ตั้งกันเอาไว้ตั้งแต่โบราณ"ชายชราประกาศผล

 

ทั้งสองหมู่บ้านสามารถใช้งานได้คนละครึ่งวัน ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านก็ยอมรับผลที่ได้

 

"หลี ห่าวจุน ดูเหมือนว่าหลานชายของเจ้ากำลังจะจากหมู่บ้านของเจ้าไปสินะ"เถิงหยุนหลงกล่าว

 

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า"หลี ห่าวจุนหัวเราะเสียงดังราวกับว่าเขาตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน "หลานชายของข้าหลี่ จินฟู เข้าสู่เทือกเขาเหยียนตั้งแต่อายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น และใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปีในการบ่มเพาะฝึกฝนทักษะในป่าเพียงลำพัง จนสุดท้ายเขาก็ฝึกฝนเพลงหมัดพยัคฆ์อำมหิตได้สำเร็จ หลังจากที่เขาฝึกซ้อมจนเสร็จสิ้นและเขาก็ตั้งใจที่จะเข้ารับการทดสอบของนิกายกุ้ยหยวน"

 

ผู้คนรอบข้างได้ยินมันอย่างชัดเจน

 

"นิกายกุ้ยหยวน?"เถิงชิงซานใจสั่นเมื่อได้ยินคำ 4 คำที่ถูกพูดออกมา

 

"นิกายอะไรกัน?"เถิงชิงซานไม่เคยได้ยินชื่อนิกายนี้มาก่อนเลยนับตั้งแต่ประวัติศาสตร์จีนถูกจารึกขึ้น

 

"ดูเหมือนว่าหลานชายของเจ้าจะเป็นคนที่มีอนาคตสดใส"เถิงหยุนหลงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม

 

ฝูงชนก็กระจัดกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อการประลองสิ้นสุดลง แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังคงพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่จินฟู

 

ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน

 

"ท่านพ่อ อะไรคือนิกายกุ้ยหยวน?"เถิงชิงซานกล่าวถามด้วยความสับสน

 

"มันคือนิกายที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจไงล่ะ และเป้าหมายในอนาคตของข้าก็คือการที่คาดจะได้เข้าร่วมนิกายกุ้ยหยวน"เถิงชิงฮูกล่าวยังภาคภูมิ

 

เถิงโย่งฟ่านยิ้มและกล่าวตอบว่า "ชิงฮู เป้าหมายของเจ้าเป็นสิ่งที่ดี!! ชิงซาน นิกายกุ้ยหยวนเป็นนิกายที่สร้างขึ้นโดยเหล่าสาวกเพื่อชี้นำทางสู่พลัง พวกเขาสามารถเพิ่มพูนพลังภายใน มันแตกต่างจากความแข็งแกร่งภายนอกของร่างกาย พลังเหล่านั้นเต็มไปด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์บางคนสามารถทำลายหินภูผาได้ด้วยฝ่ามือ แม้ว่ามือของพวกเขาจะดูอ่อนโยนราวกับคนที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อนก็ตาม"

 

เถิงชิงซานพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

 

เขาเข้าใจในความมหัศจรรย์ของพละกำลังภายในอย่างดี

 

"ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงไม่เข้าร่วมนิกายกุ้ยหยวนล่ะ?"เถิงชิงซานยังคงถามต่ออีกว่า "มันยังมีนิกายอื่นอีกหรือไม่ หรือว่าจะไม่มีนิกายอื่นอีกแล้ว ทำไมผู้คนมากมายถึงกระตือรือร้นเพื่อที่จะได้เข้าร่วมกับนิกายกุ้ยหยวน?"

 

เถิงชิงซานเป็นคนที่ฉลาดอย่างยิ่งแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เด็กอายุ 4 ขวบ แต่คำพูดคำจาและความคิดของเขาเต็มไปด้วยเหตุผล

 

เถิงโย่งฟ่านภาคภูมิใจในตัวลูกชายของเขาอย่างมาก

 

เถิงโย่งฟ่านถอนหายใจก่อนจะกล่าวรายละเอียดว่า "ชิงซาน โลกใบนี้นั้นมีทั้งหมด 9 เขตแดนปกครอง หยางโจวคือเขตแดนปกครองที่มั่งคั่งที่สุด และในหยางโจวเองก็มีนิกายสูงสุดคือ หมู่เกาะชิงฮู ในขณะที่นิกายกุ้ยหยวน และ มหาโถงไทอี้ ถูกจัดว่าเป็นนิกายอันดับที่ 2 เพราะทั้งสองนิกายเลือกจะมีความแข็งแกร่งที่เท่าเทียมกัน"

 

เถิงชิงซานพยักหน้าและถามต่อไปว่า "แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าร่วมกับ นิกายหมู่เกาะชิงฮู? ทั้งๆที่นิกายหมู่เกาะคือนิกายลำดับที่ 1 ?"

 

"ภายในเขตแดนปกครองหยางโจวนั้นแบ่งออกเป็น 13 มณฑล โดยที่ 9 มณฑลจากทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยหมู่เกาะชิงฮู และทั้ง 9 มณฑลนั้นจะมีนิกายเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นก็คือหมู่เกาะชิงฮู โดยที่ข้าราชวังหลวงทั้งหมดที่อยู่ใน 9 มณฑลถูกแต่งตั้งโดยหมู่เกาะชิงฮู ซึ่งเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงว่าชายแดนเหล่านี้คือสมบัติของหมู่เกาะชิงฮู"

 

ขณะที่เถิงชิงซานตั้งใจฟัง มันก็เต็มไปด้วยความสับสน

 

โลกแห่งนี้นั้นเป็นแบบไหนกัน?

 

แล้วนี่ข้ามาโผล่อยู่ในยุคไหน?

 

นิกายเดียวสามารถควบคุมทั้งเก้ามณฑล? แม้กระทั่งกองกำลังสนับสนุนรัฐบาลยังต้องได้รับการคัดเลือกรายชื่อจากนิกายเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่าข้าราชการจะถูกควบคุมโดยนิกาย

 

"จากมณฑลทั้ง 13 แห่งหยางโจว นิกายที่ส่งพลังสูงสุดก็คือ 'หมู่เกาะชิงฮู' ได้เข้าควบคุมทั้งเก้ามณฑลอย่างเบ็ดเสร็จ ในส่วนของนิกายกุ้ยหยวนนั้นเป็นผู้ควบเมืองเจียงหนิงของเรา ดังนั้นข้าราชวังหลวงของหัวเมืองทั้ง 9 ที่อยู่ภายใต้เขตแดนของเมืองเจียงหนิงจึงถูกควบคุมโดยนิกายกุ้ยหยวน ดังนั้นภายใต้เขตแดนเจียงหนิง นิกายกุ้ยหยวนจึงเปรียบได้กับพระเจ้า!! ไม่มีนิกายหน้าไหน กล้าที่จะตั้งตัวเองขึ้นภายใต้เมืองเจียงหนิง"

 

เถิงชิงซานฟังพร้อมกับความรู้สึกตกใจ

 

เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าในประวัติศาสตร์จีนที่เขาเรียนรู้มาไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน

 

นั่นก็หมายความว่าโลกใบนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจีนแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอน

 

"ชิงซาน"เถิงชิงฮูกล่าวยังตื่นเต้น "เจ้าคงรู้สินะว่า 'กลุ่มกองโจรม้าขาว' มีพลังอำนาจมากเพียงใด พวกเขามีสมาชิกที่เข้าร่วมมากถึง 8000 คน แต่ถึงกระนั้นในทุกๆปี กลุ่มกองโจรม้าขาว ก็ยังต้องส่งส่วยให้กับเจ้าเมืองแห่งเมืองอวี้!!! และถ้าหากเจ้าเมืองไม่มีความสุข เจ้าเมืองก็จะส่งกองกำลังทหารไปกวาดล้างคนเหล่านั้น และถึงแม้ว่ากองโจรม้าขาวจะมีสมาชิกมากถึง 8000 คน แต่ทางการใช้นักรบเพียงแค่ 100-200 คนเท่านั้นก็สามารถทำลายล้างกลุ่มกองโจรม้าขาวจนหมดสิ้นได้"

 

เถิงชิงซานเริ่มเข้าใจอย่างสมบูรณ์

 

ภายใต้เมืองเจียงหนิง ประกาศิตนิกายกุ้ยหยวนถือเป็นอธิปไตย!!!

 

ข้าราชวังหลวงทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสาวกนิกายกุ้ยหยวน แม้กระทั่งกลุ่มกองโจรม้าขาวเองหรือกลุ่มอื่นๆ จะต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีมิทำให้นิกายกุ้ยหยวนต้องโกรธเคือง

 

"ถ้าเช่นนั้นการเข้าร่วมนิกายกุ้ยหยวนคงจะเป็นเรื่องยากมากสินะ?"เถิงชิงซานเอ่ยถาม

 

"ถูกต้อง มันคือเรื่องที่ยากมากจริงๆ"เถิงโย่งฟ่านถอนหายใจ "มีเพียง 2 ขั้นตอนที่จะสามารถเข้าร่วมนิกายกุ้ยหยวนได้ ขั้นแรกเด็กคนนั้นจะต้องอายุน้อยกว่า 10 ขวบ ขั้นตอนต่อมา ถ้าหากยอมจ่ายเงินเป็นจำนวน 500 เหรียญเงิน เด็กคนนั้นจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้เทคนิคลับ อย่างไรก็ตามถ้าหากคนผู้นั้นไม่สามารถก่อให้เกิดกำลังภายในได้ภายใน 1 ปีหลังจากเริ่มฝึกฝน ทางนิกายจะขับไล่ออกจากนิกายในทันที"

 

เถิงชิงซานทำความเข้าใจทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ตามจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีทักษะลึกลับก็สามารถซึมซับพลังปราณแห่งสวรรค์และโลกเพื่อผลิตกำลังภายในได้

 

ใกล้จะมีเพียงหนึ่งในล้านคนเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนกำลังภายในได้จนสำเร็จ

 

ในขณะที่กำลังปรับแต่งกำลังภายในด้วยการดูดซึมพลังปราณคลองสวรรค์และโลกมันอาจจะดูเป็นเรื่องง่าย แต่มีเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะสามารถเติมเต็มความต้องการของตนเองได้

 

"และคนส่วนใหญ่ย่อมต้องรู้สึกลังเลที่จะต้องจ่ายเงินมากถึง 500 เหรียญเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว"เถิงโย่งฟ่านกล่าวพร้อมกับแสดงอารมณ์

 

" ไม่มีทางอื่นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?"เถิงชิงซานเอ่ยถาม

 

"ภายในนิกายย่อมต้องมีกองกำลังเพื่อพิชิตศัตรูเป็นของตนเอง เฉกเช่นเดียวกันนั้น นิกายกุ้ยหยวนเองก็มีกองกำลังเกราะปราการทมิฬ ดังนั้นอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถเข้าร่วมนิกายกุ้ยหยวนได้คือการหาวิธีเข้าร่วมกับกองกำลังเกราะปราการทมิฬ!!"เถิงโย่งฟ่านกล่าวต่ออีกว่า "และการทดสอบเพื่อคัดเลือกเข้าร่วมกองทัพนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ถ้าหากผู้เข้าทดสอบสามารถยกหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 500 จินได้ ถูกจัดอันดับว่าเป็นนักรบขั้นที่ 3 และถ้าหากผู้ทดสอบสามารถยกหินที่หนักประมาณ  2000 จินได้  จะถูกจารึกชื่อเป็นนักรบขั้นที่ 2  แต่ถ้าหากผู้ทดสอบสามารถยกหินที่หนักประมาณ 10000 จินได้ จะถูกจัดอันดับเป็นนักรบขั้นที่ 1"

 

เถิงชิงซานค่อนข้างตกใจ

 

นักรบครั้งที่ 1 ตามลำดับสามารถยกหินที่หนัก 10000 จินได้จริงๆหรือ? มันเปรียบได้กับสุดยอดปรมจารย์ที่บรรลุดินแดนแห่งเคล็ดรูปลักษณ์พยัคฆ์เทวา หรือช่วงเวลาที่เถิงชิงซานได้ก้าวขึ้นยืนในจุดสูงสุดของชีวิต ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็สามารถยกสิ่งของที่หนัก 10000 จินได้แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยความพยายามทั้งหมด

 

โลกใบนี้เต็มไปด้วยพลังปราณจิตแห่งสวรรค์ชั้นฟ้าและแผ่นดิน ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงมีศักยภาพทางร่างกายที่ดี และผู้คนมากมายก็ถือครองศักยภาพทางร่างกายที่แสนน่ากลัว

 

"แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถยกหินที่หนักได้เพียงประมาณ 300 จินเท่านั้น และมันจะยากขึ้นไปเรื่อยๆ จนมีเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะสามารถยกหินที่หนักประมาณ 400 จินได้ และจะมีเพียง 1 ใน 100 คนเท่านั้นที่จะสามารถยกหินที่หนัก 500 จินได้"เถิงโย่งฟ่านกล่าวพร้อมถอนหายใจ "ตอนที่พ่อเริ่มฝึก พ่อฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อยและตอนนี้พ่อเองก็สามารถยกหินที่หนักประมาณ 1200 จินได้ เรียกได้ว่าพ่อเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านเถิงเจีย แต่เมื่อเทียบระดับภายในกองกำลังเกราะปราการทมิฬแล้ว พ่อเป็นเพียงนักรบขั้นที่ 3 เท่านั้น"

 

"นักรบครั้งที่ 3 เป็นเพียงลูกสมุนเดนตายของกองทัพเกราะปราการทมิฬ ไว้เพื่อเอาตัวเข้าแลกกับลูกกระสุนปืนใหญ่ในสงคราม ถ้าหากพ่อเข้าร่วม พ่อก็อาจจะได้รับการฝึกฝนทักษะกำลังภายในที่ง่ายที่สุด แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้พ่อเองก็อายุ 30 ปีแล้ว อนาคตที่จะฝึกฝนกำลังภายในก็หายไปตามกาลเวลาด้วย"เถิงโย่งฟ่านกล่าว

 

แม้แต่คนที่เป็นพ่อของเถิงชิงซานก็เป็นได้เพียงแค่ทหารรับกระสุนปืนใหญ่ที่สังกัดกองทัพเกราะปราการทมิฬเท่านั้นเอง

 

แม้ว่ากลุ่มกองโจรม้าขาวจะทำตัวเหมือนเป็นผู้มีอิทธิพลและทรงพลัง แต่เมื่ออยู่ภายใต้สายตาของกองกำลังเกราะปราการทมิฬ เพียงคนของเกราะปราการทมิฬ 100 คนก็สามารถกำจัดกลุ่มกองโจรเหล่านี้ได้โดยง่าย พวกเขาอาจจะเห็นกลุ่มกองโจรม้าขาวเป็นเพียงแค่เป้าซ้อมยิง ซ้อมดาบ ซ้อมกระบี่ หรือแม้กระทั่งเป็นเป้าซ้อมลูกหินกลิ้งที่ใช้ทำลายกลุ่มกองโจรม้าขาวจนกลายเป็นส่วนๆ"เถิงโย่งฟ่านกล่าวโดยไม่แม้แต่จะกังวล

 

ในประวัติศาสตร์จีนโบราณเคยมีกองกำลังที่แสนน่ากลัวเช่นนี้หรือไม่?

 

ไม่เคยมี!!!!

 

คนที่สามารถยกก้อนหินที่หนัก 1000 จินได้เปรียบได้กับทหารลูกสมุน ในขณะที่คนบางส่วนที่สามารถยกน้ำหนักได้ 2000-10000 จิน จะเปรียบได้กับคนชนชั้นสูง!!!

 

ผู้คนในกองทัพล้วนแล้วแต่สวมชุดเกราะหนาขนาดใหญ่ และเวลาที่ทุกคนเคลื่อนพลมันเปรียบดั่งคลื่นน้ำที่เปลี่ยนจากผิวน้ำเป็นผิวเหล็กหนามากมายที่ถาโถม

 

"ด้วยกองทัพจำนวน 8000 คนซึ่งผสมไปด้วยบุคคลทั่วไป จะเอาอะไรไปสู้กองกำลังที่เต็มไปด้วยทหารศึกได้ ความพ่ายแพ้ย่อมปรากฏขึ้นภายในชั่วพริบตา"เถิงชิงซานเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมนิกายเหล่านั้นถึงได้ก้าวขึ้นสู่มหาอำนาจสูงสุดของโลก

 

"ท่านพ่อ กองกำลังเกราะปราการศึกแห่งนิกายกุ้ยหยวนมีจำนวนผู้คนมากเท่าไหร่กัน?"เถิงชิงซาน


 

รีวิวผู้อ่าน