ตอนที่ 32 คุกเข่าอ้อนวอน
สองนาทีหลังกลืนพิษลงไป...ร่างบนเก้าอี้เหล็กของอาหลงดิ้นทุรนทุรายก่อนจะสิ้นลมหายใจในที่สุด
ผู้กำกับหลี่ยืนอยู่กลางห้องสอบสวนพลางจ้องหยวนเค่อด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดก่อนจะประกาศกร้าวว่า “กว่าจะจับมันมาสอบสวนได้...ยังจะปล่อยให้มันตายอีก ฉันประทับใจกับความห่วยของนายจริงๆ พรุ่งนี้เช้าไปรายงานกับคนจากสำนักงานใหญ่เอาเองแล้วกัน!”
“ผม...” หยวนเค่อหมดคำแก้ตัว
“ให้ตายเถอะ! มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง!” ผู้กำกับหลี่กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องสืบสวนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ฉีหลินยืนมองศพของพี่ชายอยู่หน้าประตูห้องด้วยสายตาเหม่อลอย ขาทั้งสองอ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปจนแยกแยะไม่ออก
ขณะเดียวกัน หยวนเค่อยังคงถือฟันปลอมไว้ในมือ เขาเหลือบมองไปที่ประตูทางเข้า กระทั่งสายตาสบเข้ากับฉีหลิน!
...
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ศพของอาหลงถูกห่อด้วยผ้าขาวเตรียมถูกเคลื่อนย้าย
หยวนเค่อเดินเข้าห้องสอบสวนอีกห้องและสั่งให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกับพรรคพวกของกุ้งแห้งตามลำพัง
“แกเคยบอกว่าอาหลงติดต่อกับตำรวจในสำนักงานของเราก่อนพยายามหนีออกจากเขตพิเศษที่เก้าใช่ไหม?” หยวนเค่อหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกจากลิ้นชักก่อนจะโยนทิ้งไป
“ชะ...ใช่” เขาพยักหน้าตอบ
“ไอ้กุ้งแห้งกล้าถือระเบิดเข้าไปพลีชีพพร้อมกับตำรวจ...แต่เพื่อนอย่างแกทำไมถึงขี้ขลาด?” หยวนเค่อถามอย่างตรงประเด็น
“กุ้งแห้งเคยบอกว่าจะสอนวิธีหาเงินก้อนโต...ฉันเลยยอมยกชีวิตและตามเขาไปทุกที่ แต่ยังไม่ทันได้เห็นเงินที่ว่ากลับชิงตายไปซะก่อน...ฉันก็แค่ไม่อยากตายเหมือนหมอนั่นเท่านั้น” เขาตอบกลับตามจริง
“แกเป็นเด็กใหม่เหรอ?”
“อืม”
“บอกฉันหน่อยว่าอาหลงแอบเจอกับตำรวจคนนั้นยังไง?” หยวนเค่อถามเสียงเรียบ
“เขาบอกว่ามีเรื่องอยากขอกับเพื่อนคนหนึ่งก่อนออกจากเขตพิเศษ” ลูกน้องกุ้งแห้งก้มหน้าตอบ “แต่ลุงหม่ากับกุ้งแห้งรู้สึกว่ามันอันตรายเกินไป...ถ้าถูกจับได้คงไม่รอด นายก็รู้ว่าเส้นทางขนยาอยู่ในกำมือของอาหลง ทุกอย่างของพวกฉันขึ้นอยู่กับเขา ฉะนั้นไม่ว่าอาหลงจะไปไหน เราต้องตามไปคุ้มกันด้วยอย่างไม่มีทางเลือก ปกติแล้วอาหลงจะให้เราจอดรถอยู่ห่างๆ แล้วเดินไปจุดหมายเอง แต่มีครั้งหนึ่ง...ระหว่างไปร้านขายของชำเพื่อซื้อน้ำ ฉันบังเอิญเห็นเขาไปบ้านของใครบางคน”
หยวนเค่อหยิบรูปถ่ายออกมาก่อนจะโยนให้ลูกน้องดู “ใช่คนนี้ไหม?”
“ใช่...ฉันเคยเห็นเขาสองครั้ง”
“ไหนนายบอกบังเอิญเจอครั้งเดียวไง?”
“ฉันเห็นเขาอีกครั้งตอนงานแต่ง ทั้งงานมีคนเยอะมากจนไม่รู้ว่าอาหลงกำลังมองหาใครอยู่ กระทั่งอาหลงไปหาที่บ้านอีกครั้งจึงได้รู้ว่าเขาคือคนที่ตามหา ฉันถึงได้บอกว่าเคยเจอสองครั้ง” ลูกน้องอธิบายอย่างละเอียด
หยวนเค่อเลียริมฝีปากก่อนเอ่ยถาม “รู้หรือเปล่าว่าสองคนนี้เป็นอะไรกัน?”
ลูกน้องส่ายหน้า “ไม่รู้ อาหลงไม่เคยบอกและพวกฉันก็ไม่กล้าถามด้วย...”
ยี่สิบนาทีผ่านไป...หยวนเค่อออกมาจากห้องสอบสวนก่อนจะสั่งการซูอัง “ส่งตำรวจและหมอนิติเวชไปยังห้องเก็บศพแล้วเก็บดีเอ็นเอของอาหลงมาตรวจเดี๋ยวนี้!”
“ตรวจดีเอ็นเอ? กับใครเหรอครับ?”
“นายคิดว่าใครล่ะ?” หยวนเค่อถามกลับ
ซูอังนิ่งไปชั่วขณะ “ผะ...ผู้หมวดกำลังสงสัยว่าสองคนนั้นเป็นครอบครัวเดียวกันเหรอ?”
“คำสารภาพของลูกน้องกุ้งแห้งช่วยขยายความชัดเจนแล้วว่าทำไมวันนั้นเขาถึงไม่กล้ายิงอาหลง” หยวนเค่อตอบกลับ “เขาใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องสำคัญคงไม่กล้ายุ่งกับคนอันตรายอย่างอาหลงแน่”
ซูอังเข้าใจสิ่งที่หยวนเค่อต้องการสื่อในทันที “ผมเข้าใจแล้วครับ”
...
ในโกดังหน่วยพลาธิการ
ฉีหลินนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทีสับสน ความคิดซับซ้อนหมุนวนในหัว...
“เพื่อน...ทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองก็จริง แต่ก็จำเป็นต้องรับผิดชอบผลของการกระทำด้วย” ฉินอวี่กล่าวขณะนั่งพิงโต๊ะ “ฉันรู้ว่านายรู้สึกแย่ แต่นายยังดีที่มีครอบครัวรออยู่...ฉันตัวคนเดียว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าญาติพี่น้องเป็นตายร้ายดียังไง”
ฉีหลินนิ่งเงียบ...
“ฉีหลิน นายต้องเข้มแข็งและจัดการความเสียใจนี้ให้ได้เร็วที่สุด นายยังมีครอบครัวที่ต้องดูแล...” ฉินอวี่ขยับเข้าใกล้ก่อนจะกระซิบข้างหู “ที่นี่มีหูตาเต็มไปหมด อย่าให้คนอื่นจับพิรุธนายได้!”
ฉีหลินเงยหน้าขึ้น “ถูกของนาย คนตายก็ตายไปแล้ว คนที่ยังอยู่...ต้องก้าวต่อไป”
“แอ๊ด!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ประตูโกดังก็เปิดออกอย่างกะทันหัน ซูอังเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับตำรวจอีกสองคน พวกเขาจ้องฉีหลินอย่างเฉยชาก่อนพูดว่า “ผู้หมวดหยวนให้มาตามนายไปพบเขาที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้”
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินอวี่ถามแทนฉีหลิน
“ไม่มีอะไรมากหรอก เขาแค่อยากได้คำชี้แจงเล็กน้อยเกี่ยวกับคดีก่อนหน้า” ตำรวจที่ยืนด้านซ้ายพยักหน้ากล่าว “รีบไปกันเถอะ อย่าปล่อยให้เขารอนาน”
ฉินอวี่รู้สึกกังวลแต่เลือกที่จะเงียบปากไว้เพราะกลัวอีกฝ่ายจับพิรุธได้ ฉีหลินรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติก่อนจะลุกขึ้น “คดีไหนเหรอ?”
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”
ฉีหลินยิ้ม “อืม...อย่างนั้นก็ไปกันเลย”
ทั้งสามออกจากโกดังไป ระหว่างที่ฉินอวี่เดินตามไปส่งก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
หนึ่งชั่วโมง...
สองชั่วโมง...
จนตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว...
ฉินอวี่รอฉีหลินกลับมาเกือบสิบชั่วโมงแต่ก็ยังไร้วี่แวว...เขาเริ่มอยู่ไม่สุข จู่ๆ ก็นึกถึงคำที่หลินเหนียนเล่ยและอาหลงเคยพูดเอาไว้
ความรู้สึกวุ่นวายใจประเดประดังใส่ฉินอวี่ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติของคดีลักลอบค้ายา
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉินอวี่จึงลุกขึ้นพลางหยิบบัตรประจำตัวออกจากห้องทำงาน และขับรถของหน่วยมุ่งหน้าไปเรือนจำซ่งเจียงที่สาม
...
ขณะเดียวกัน...
หยวนเค่อเดินเข้าห้องทำงานพลางมองฉีหลินที่ถูกกักตัวนานกว่าสิบชั่วโมงแล้ว “ออกไปข้างนอกด้วยกันหน่อย”
ฉีหลินยืนขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะกลั้นใจถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับผู้หมวดหยวน?”
“เดี๋ยวก็รู้” หยวนเค่อตอบทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังเดินนำออกไป
ฉีหลินพยายามอย่างมากเพื่อข่มความเศร้าภายในใจ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินตามหยวนเค่อไปทันที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...หยวนเค่อขับรถพาฉีหลินไปโรงพยาบาลในเครือสำนักงานตำรวจและตรงไปยังห้องเก็บศพ
ฉีหลินกวาดสายตามองไปรอบห้องก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ผะ...ผู้หมวดหยวน ทะ....ทำไมถึงพาผมมาที่นี่ครับ?”
หยวนเค่อจุดบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะเดินไปดึงลิ้นชักเก็บศพช่องหนึ่ง เผยให้เห็นร่างของใครบางคน…
เพียงมองแค่หางตาฉีหลินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นศพของอาหลง…
“จำเขาได้หรือเปล่า?” หยวนเค่อถามหน้านิ่ง
ฉีหลินกำหมัดแน่นพร้อมฝืนยิ้มตอบ “หมายความว่ายังไงเหรอครับผู้หมวดหยวน? ผมไม่เข้าใจ...”
หยวนเค่อยิ้มก่อนจะหยิบกระดาษสองแผ่นออกมาจากเสื้อคลุม “ฉันตรวจดีเอ็นเอแล้ว ผลออกมาว่าอาหลงเป็นพี่ชายของนาย”
คำพูดของผู้หมวดหยวนทำหัวใจของฉีหลินแทบหยุดเต้น ความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าทันที
“ที่นายไม่ยอมยิงเขาก็เพราะอยากปกป้องเขาใช่ไหม?” หยวนเค่อถามเสียงเรียบ
“นะ...นี่มัน...ผิด คุณเข้าใจผิด...”
“ฉีหลิน...นายและฉันต่างรู้ดีว่าต่อให้ตรวจดีเอ็นเออีกเป็นหมื่นครั้งผลก็ยังคงออกมาเหมือนเดิม” หยวนเค่อกล่าวพลางนั่งลงบนเตียงในห้องเก็บศพ “หลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้ว นายปฏิเสธไปก็เปล่าประโยชน์”
ฉีหลินคว้าผลตรวจดีเอ็นเอมากำไว้แน่น จิตใจของเขาตื่นตระหนกจนไม่รู้จะตอบหยวนเค่อยังไง…
“ฉีหลิน ถ้าผลดีเอ็นเอถูกส่งไปให้เบื้องบนแล้วพวกนั้นรู้ว่านายฝ่าฝืนคำสั่งให้จับกุมอาหลง รู้หรือเปล่าว่าตัวเองจะโดนอะไร?” หยวนเค่อพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“นายจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในคดี ถูกแจ้งข้อหาละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ และยังมีอีกหลายกระทง ทุกอย่างมันไม่ได้จบแค่โดนปลดหรอกนะ อย่างน้อยก็ต้องเข้าคุกไปสิบปี!”
ฉีหลินยืนนิ่งก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าหยวนเค่อพร้อมจับชายกางเกงเป็นการอ้อนวอน “ผู้หมวดหยวนครับ...ถึงอาหลงจะเป็นพี่ชายของผมจริง แต่เราสองคนไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว! เราเพิ่งบังเอิญเจอกันเมื่อวันก่อน ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือเป้าหมายของเรา...”
หยวนเค่อจ้องฉีหลินโดยไม่พูดอะไร
“ผู้หมวดหยวน...ผมจะตกงานหรือติดคุกไม่ได้เพราะผมมีภาระครอบครัวที่ต้องดูแล...ผมขอร้อง...” ฉีหลินคร่ำครวญพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม “ได้โปรดเถอะครับ...ผมยอมทำทุกอย่าง ผู้หมวดช่วยผมด้วยนะครับ...”
หยวนเค่อหยิบบุหรี่ขึ้นมาก่อนจะตบไหล่ฉีหลินพร้อมกล่าวว่า “ทุกคนล้วนมีความรู้สึก เราร่วมงานกันมานาน ทำไมฉันจะไม่รู้ว่านายเป็นคนยังไง? ฉีหลิน...ฉันเชื่อว่านายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้เข้าใจเหมือนกับฉัน พวกเขาไม่เชื่อสิ่งที่นายพูดแน่นอน การจับกุมครั้งล่าสุดเราเสียตำรวจไปถึงสี่นาย พวกเขาอยากได้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผลดีเอ็นเอถูกเปิดเผยในช่วงคอขาดบาดตายแบบนี้? นายจะถูกมองว่าเป็นหนอนบ่อนไส้และเป็นต้นเหตุทำให้ปฏิบัติการล้มเหลว โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะตกอยู่ที่นายคนเดียว...นายจะรับมือได้ไหมล่ะ?”
ฉีหลินพูดไม่ออก
“ฉันก็อยากช่วย...แต่มันเกินความสามารถฉัน” หยวนเค่อกล่าวก่อนจะหยิบผลตรวจดีเอ็นเอขึ้นมา “ถึงอย่างนั้น...ก็พอมีทางออกอยู่”
“อะ...อะไรเหรอครับ? ผมยอมทำทุกอย่าง!”
“อาหลงเป็นคนกลางในการจัดส่งสินค้าให้กับตระกูลหม่า แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว...ถ้านายสามารถสืบหาต้นตอพ่อค้ารายใหญ่พร้อมทั้งขุดคุ้ยเส้นทางการจัดส่งยามาได้ ฉันจะปกป้องนายจากผู้กำกับหลี่และพวกผู้บริหารระดับสูงเอง...แน่นอนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยถ้านายทำสำเร็จ” หยวนเค่อกล่าวขณะจ้องมองฉีหลิน “เมื่อตอนนั้นมาถึงก็แค่ปิดบังผลการตรวจดีเอ็นเอซะก็สิ้นเรื่อง”
ฉีหลินนั่งคิดอยู่นานพลันนึกถึงคำพูดที่อาหลงบอกกับเขาที่บ้านก่อนจากไปได้
‘ถ้าวันไหนนายจนมุมหรือไร้ที่พึ่ง โทรหาเบอร์ที่อยู่ในนั้น เขาจะช่วยนายได้’
ฉีหลินหันไปหาหยวนเค่อทันทีพร้อมกล่าวว่า “ดูเหมือนเขาจะทิ้งเบอร์ติดต่อใครบางคนไว้ให้ผม แต่มันอยู่ที่บ้าน...บางทีอาจเป็นเบอร์ของพ่อค้ารายใหญ่”
“อย่าพูดเป็นเล่น! มันทำให้นายตกที่นั่งลำบากได้เลยนะ!”
ฉีหลินเงยหน้ามองหยวนเค่อก่อนตอบกลับด้วยเสียงแหบพร่า “ผมจะล้อเล่นทำไม? ครอบครัวผมอยู่ที่นี่นะผู้หมวด!”
“ได้...ฉันจะเชื่อใจนาย กลับไปหาเบอร์ที่ว่านั่นให้เจอ!”
“ผู้หมวดอย่าส่งคนตามไปได้ไหมครับ? ผมกลัวว่าแม่จะตกใจ...ช่วงนี้ท่านสุขภาพไม่ดี”
“ไม่ต้องห่วง คนของฉันจะไม่เข้าบ้านนายถ้าไม่ได้รับอนุญาต” หยวนเค่อพูดด้วยรอยยิ้ม “บอกให้พวกเขารอข้างนอก ถ้าได้เบอร์มาแล้วคนพวกนั้นจะพานายมาหาฉันเอง”
...
ฉินอวี่มาถึงเรือนจำซ่งเจียงที่สามและขอเข้าพบหม่าเหลาเอ๋อทันที
“บัดซบ!” หม่าเหลาเอ๋อสวมชุดนักโทษนั่งบนเก้าอี้เหล็กในห้องคุมขัง “แกยังไม่ตายอีกเหรอ?!”
ฉินอวี่เอ่ยถามว่า “พวกแกอยากให้ฉันตายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นายทำให้ประชาชนตาดำๆ ขาดแคลนยาแถมยังทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นอีก แบบนี้สมควรตายไหมล่ะ?” หม่าเหลาเอ๋อตอบ
ฉินอวี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “พวกแกเคยรู้มาก่อนหรือเปล่าว่ายังมีแก๊งค้ายากลุ่มหนึ่งในเขตพื้นทมิฬขายยาในราคาที่แพงกว่าสองเท่า?”
หม่าเหลาเอ๋อระเบิดเสียงหัวเราะ “แกล้อฉันเล่นรึไง? คนที่ควรรู้เรื่องนี้ดีคือแก สาเหตุที่พวกฉันถูกไล่ปราบปรามก็เพราะพวกแกเปิดทางให้พวกมันไง!”
ฉินอวี่เริ่มสับสนที่ได้ยินเช่นนั้น “ถ้าฉันบอกว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนแกจะเชื่อไหม?”
หม่าเหลาเอ๋อตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน...
............................................................