px

เรื่อง : Special District 9 – เขตพิเศษที่ 9
ตอนที่ 34 ดิ้นรน


ตอนที่ 34 ดิ้นรน

ที่อยู่อาศัยแถบพรมแดนเมืองซ่งเจียง แมวเฒ่ายืนอยู่ข้างรถขณะรับสายฉีหลิน “มีอะไร?”

“นายอยู่สำนักงานหรือเปล่า?”

“ไม่รู้รึไงว่าฉันมาทำภารกิจจับพวกลักลอบขายของเถื่อนอยู่ชายแดน?!” แมวเฒ่าตอบพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ฉันเพิ่งเสร็จงานกำลังจะกลับพอดี”

เมื่อเห็นว่าแมวเฒ่ายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจ ฉีหลินจึงกัดฟันเปิดประเด็นทันทีโดยไม่ลงรายละเอียดมาก “แมวเฒ่า ฉันกำลังตกที่นั่งลำบาก...อยากให้นายช่วย”

“เรื่องอะไร?”

“ฉันไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ นายรีบมารับแม่กับน้องสาวฉันได้ไหม?” ฉีหลินกล่าวเสียงแผ่ว “รบกวนไม่นาน ฉันจะฝากทั้งคู่ไว้กับนายสักสองชั่วโมง”

“แล้วตกลงมันเกิดบ้าอะไรขึ้น?” แมวเฒ่ายิ่งทวีความสงสัย ฉีหลินไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังขนาดนี้มาก่อน

“อย่าเพิ่งถาม รู้แค่ว่าฉันอยู่ในซ่งเจียงไม่ได้แล้ว ฉันต้องหนี…” ฉีหลินกล่าว ด้วยเกรงว่าชายสองคนที่คอยจับตาดูข้างนอกนั้นจะสงสัย เขาจึงไม่มีเวลาอธิบายมาก “ขอร้องล่ะ...ฉันไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว”

“ได้ ฉันจะรีบไป” แมวเฒ่าตอบกลับอย่างไม่ลังเล “อีกครึ่งชั่วโมงถึง”

“แมวเฒ่า...นายอย่าบอกใครนะว่าฉันโทรหา”

“เออ…ไม่บอกใครหรอก” แมวเฒ่าไม่ค่อยให้สัญญากับใคร แต่ถ้าเขาได้เอ่ยปากแล้วไม่เคยคืนคำ

“ฉันจะให้แม่และน้องฉันไปรอที่สถานีรถไฟสายเหนือ” ฉีหลินกล่าว “ถ้าถึงแล้วให้ไปรับทั้งคู่และคอยฉันอยู่ในรถ เสร็จธุระแล้วฉันจะรีบตามไป”

แมวเฒ่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ตาเฒ่าหลี่ช่วยนายได้ไหม? ฉันจะได้รีบโทรหาเขา”

ฉีหลินตาแดงก่ำเมื่อได้ยินคำถาม ริมฝีปากสั่นขยับพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขะ...เขาช่วยอะไรไม่ได้”

แมวเฒ่ารีบพูดตัดบทเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่สู้ดี “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันกำลังรีบไป”

“ขอบใจ”

“ขอบใจห่าอะไร! อย่าขาดการติดต่อไปก็พอ!”

“เออ รู้แล้ว”

หลังทั้งคู่วางสาย แมวเฒ่าเปิดประตูรถพลางตะโกนบอกนายตำรวจด้านนอกที่กำลังจัดการสถานที่เกิดเหตุว่า “ฉันมีธุระด่วนต้องรีบไปจัดการ ถึงสำนักงานแล้วโทรบอกด้วย” 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับรองผู้หมวด?” นายตำรวจที่อยู่ไม่ไกลถาม

“บรืน!”

แมวเฒ่าไม่ตอบกลับพลันเหยียบคันเร่งฝ่าความมืดไปทันที

ในห้องของฉีหลิน

ฉีหลินเดินไปหลังตู้เสื้อผ้าและพยายามสอดมือผ่านช่องว่างหลังตู้กับกำแพง เขาควานหาอยู่นาน ในที่สุด...ก็เจอเสื่อน้ำมันห่อหนึ่งจึงดึงออกมา

 

เขานำก้อนเสื่อน้ำมันมาวางบนโต๊ะพร้อมแกะออก เผยให้เห็นปืนพก P202 ที่อยู่ข้างใน

มันคือปืนที่ฉีหลินซื้อมาในราคาสี่ร้อยดอลลาร์จากพ่อค้าอาวุธเถื่อนเมื่อสามปีก่อน เขาตั้งใจซื้อมันมาเพื่อฝึกซ้อมเพิ่มเติมหลังฝึกยิงปืนที่สำนักงานเสร็จ แต่ไม่มีเงินมากพอใช้ติดสินบนในการขอใบอนุญาตพกปืน

ฉีหลินหวังจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขั้นสองด้วยฝีมือการยิงปืนอันโดดเด่น ซึ่งความจริงแล้วเขาเป็นสุดยอดนักแม่นปืนอันดับหนึ่งของสำนักงานเขตพื้นทมิฬ ทั้งยังติดอันดับหนึ่งในสามของเขตพิเศษนี้ ถึงอย่างนั้นรางวัลที่เขาได้รับก็เป็นเพียงเงินก้อนหนึ่งเท่านั้น ไม่คุ้มค่ากับที่ลงทุนฝึกไปสักนิด...

สำหรับตำแหน่งที่หวัง กลายเป็นคนที่แทบไม่จับปืนด้วยซ้ำได้มันไป

ฉีหลินตรวจสอบปืนให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานก่อนจะเติมกระสุน หลังจากนั้นจึงเก็บมันใส่กระเป๋าและออกจากห้องไป

เมื่อออกมานอกห้อง ฉีหลินก็หยุดชะงักมองหิมะและโลกอันโหดร้ายข้างนอก เขาหันกลับไปมองบ้านตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย...

ห้องเล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ธรรมดา เป็นสถานที่ที่เขาลงแรงหาเงินอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา แต่จนท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เลย...

เหรียญรางวัลกับถ้วยเกียรติยศนับไม่ถ้วนที่วางเรียงรายราวกับต้องการประชดความจริงที่เขาไม่เคยยิงปืนเลยสักนัดระหว่างทำภารกิจ

ฉีหลินยืนมองห้องนอนที่เต็มไปด้วยความทรงจำอย่างเงียบๆ ก่อนตัดสินใจจากมันไป

ผ่านประตูเหล็ก ฉีหลินตรงไปที่ห้องของแม่พร้อมเอ่ยถามว่า “เก็บของไปถึงไหนแล้ว?”

“แกไปทำอะไรมากันแน่? ทำไมเราถึงต้องรีบย้ายออกขนาดนี้...?” หญิงชรานั่งถามเสียงสั่นอยู่บนเตียง

“ผมไม่มีเวลาอธิบายมาก แต่แม่ไม่ต้องห่วง...ผมติดต่อกับฉีหลงไว้แล้ว เราจะไปหาเขา” ฉีหลินโกหกพร้อมกับถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก 

หญิงชราบ่นพึมพำพร้อมกุมขมับว่า “ฉันผิดเอง...ไม่น่าบังคับให้แกแต่งงานเลย...ที่เราต้องไปเพราะผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?”

ฉีหลินมองหน้าผู้เป็นแม่พลางกำหมัดแน่นกดความรู้สึกขุ่นเคืองไว้ในใจ เขาเดินไปจับมือน้องสาวและพาไปยืนหน้าประตูพร้อมกับกำชับเธอว่า “ฉียู่...ห้านาทีหลังพี่ออกไป ให้พาแม่ไปสถานีรถไฟสายเหนือนะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ” ฉียู่รับปากพี่ชายโดยไม่มีข้อกังขาใด แม้จะมองไม่เห็น แต่เธอกลับดูไม่ตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย

“เธอจำเสียงแมวเฒ่าได้ใช่ไหม? ถ้าเขาไปถึงให้รีบขึ้นรถเขา แล้วพี่จะตามไปภายในสองชั่วโมง” ฉีหลินกำชับอีกครั้ง

ฉียู่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนโน้มตัวไปกระซิบกับฉีหลิน “หนูรู้ว่าวันนั้นพี่อาหลงมาหาเรา”

ฉีหลินตกตะลึง

“หนูเสียพี่อาหลงไปคนหนึ่งแล้ว หนูไม่อยากเสียพี่ไปอีก…”

“พี่จะไม่ตาย…” ฉีหลินกัดฟันตอบขณะพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

“แล้วเจอกันนะคะพี่”

 

“ระวังตัวด้วยนะ” ฉีหลินตอบพลางลุกเดินออกจากห้องไป

ไม่นาน ฉีหลินก็กลับไปถึงรถที่รออยู่

ชายคนขับรถขมวดคิ้วจ้องหน้าฉีหลินก่อนถามว่า “ทำไมหายไปนานนักล่ะ?”

“ไม่ได้ยินรึไงว่าเกิดอะไรขึ้น?” ฉีหลินตอบเสียงเรียบ

ชายวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มปล่อยคลัตช์ “ฉันได้ยินเสียงเอะอะ ทะเลาะกับที่บ้านมารึไง?”

“ช่างมันเถอะ ไปได้แล้ว”

“แล้วของอยู่ไหน?” ชายวัยกลางคนถามต่อ

“อยู่กับฉัน” ฉีหลินตอบอย่างไม่แยแส “รีบไปหาผู้หมวดหยวนสิ”

“ดีมาก” ชายวัยกลางคนตอบพลางขับรถออกจากตรอกละแวกบ้านฉีหลินไป

บนถนนเขตพื้นทมิฬ

หลังออกมาจากเรือนจำที่สามของซ่งเจียง ฉินอวี่ขับรถมารอใครบางคนที่นี่ กระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมาถึงมีเสียงเคาะกระจกดังขึ้น

ฉินอวี่เงยหน้าพบว่าเป็นผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่นอกรถ เขาเปิดประตูและออกไปหาชายคนดังกล่าว

“ยกมือขึ้น!” ชายร่างกำยำสั่งเสียงแข็ง

ฉินอวี่ลังเลก่อนจะยอมยกมือขึ้นแต่โดยดี

ชายร่างกำยำสำรวจร่างกายฉินอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีอาวุธใดติดตัวจึงพูดขึ้นว่า “ตามฉันมา”

ทั้งสองเดินตามกันไปไม่นานก็มาถึงบ้านติดถนนหลังหนึ่ง

ฉินอวี่ยืนมองห้องมืดที่อยู่ชั้นแรกของบ้านก่อนจะพบชายชราอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้...ลุงหม่า

“นายมีธุระอะไรกับฉัน?” ลุงหม่าถามด้วยหน้าตาใสซื่อทั้งที่ในมือกำลังควงปืนพกอยู่

ฉินอวี่ล้วงบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจุดก่อนพูดขึ้น “ฉันจัดการคดีของหม่าเหลาเอ๋อกับดามินให้แล้ว”

ลุงหม่าระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆๆ! ไอ้เด็กเหลือขอ หยวนเค่อส่งแกมาเล่นเกมกับฉันรึไง?”

ฉินอวี่ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าก่อนเปิดเสียงที่บันทึกไว้

ไม่นานเสียงของหม่าเหลาเอ๋อก็ดังขึ้น “ลุง...เราเจรจากับไอ้เด็กนี่ได้”

ลุงหม่าขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน

“ตอนที่พวกฉันจับหม่าเหลาเอ๋อกับดามินสำเร็จ เราก็ต่างดิ้นรนหาหลักฐานมามัดตัวจนทั้งสองดิ้นไม่หลุด แต่ลุงกลับเอาแต่ปฏิเสธการสอบปากคำ ต่อต้านการจับกุมและยังไม่ยอมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี คงหวังจะให้สองคนนั้นหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาล่ะสิ...เสียใจด้วยที่วิธีนั้นไม่ได้ผล” ฉินอวี่กล่าวพลางดูดบุหรี่อีกรอบ “แต่ถ้าลุงเลือกทำตรงกันข้ามก็อาจพอช่วยอะไรได้บ้าง...”

ลุงหม่ามองฉินอวี่อย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ถึงเคลื่อนไหวกะทันหันแบบนี้

“ฉันพูดในส่วนของตัวเองหมดแล้ว...งั้นขอตัวกลับนะ” ฉินอวี่หันหลังกำลังจะเดินออกไป

“เดี๋ยว!” ลุงหม่าตะโกนขัด

ฉินอวี่หันไปถามอย่างไม่สบอารมณ์ “อะไรอีก?”

“นายหมายความว่าไง?” ลุงหม่าพูดเข้าประเด็นทันที

ฉินอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับว่า “ฉันไม่อยากกลายเป็นไอ้โง่...ที่คอยไล่รังแกพวกค้ายาเถื่อนกับคนจนที่ต้องพึ่งพาพวกมันเพื่ออยู่รอด แล้วปล่อยให้เงินที่ยึดได้เข้ากระเป๋าคนอื่นอีกแล้ว ถ้าลุงฉลาดพอก็ทำเหมือนเราไม่เคยเจอกันที่นี่ซะ...ทางที่ดีคือเราไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยดีกว่า”

ฉินอวี่เปิดประตูออกจากบ้านไปทันทีที่พูดจบ

รถยนต์แล่นไปบนถนนอย่างรวดเร็วกระทั่งมาถึงละแวกสำนักงานตำรวจ ชายวัยกลางคนหันมองฉีหลินก่อนกดโทรศัพท์หาหยวนเค่อ

“ว่าไง?” หยวนเค่อรับสาย

“เขาได้ของมาแล้ว กำลังจะเข้าไปครับ”

“พาเขามาหาฉันที่ห้องทำงาน แล้วพวกนายก็กลับได้เลย” หยวนเค่ออกคำสั่ง

“รับทราบครับ”

ทั้งคู่วางสายหลังคุยกันเสร็จ

หยวนเค่อนั่งอยู่ในห้องทำงานพลางกดข้อความหาพี่ชายว่า “ใกล้จะได้เส้นทางขนยาแล้ว”

“โอเค” พี่ชายของหยวนเค่อตอบกลับ

บนรถฝั่งฉีหลิน

ชายวัยกลางคนหักพวงมาลัยมาจอดหน้าสำนักงานตำรวจก่อนจะพูดว่า “ผู้หมวดหยวนรออยู่ในห้อง เข้าไปเองแล้วกัน”

“ควับ!”

ทันใดนั้น ฉีหลินก็ชักปืนขึ้นจ่อหัวชายวัยกลางคน!

ชายสองคนหันมามองฉีหลินทันที

“กระเป๋านั่นหายไป ฉันพยายามหาแล้ว แต่ไม่เจอ…” ฉีหลินพูดเสียงสั่น แต่ถึงอย่างนั้นมือที่จับปืนกลับมั่นคง “ฉันจะกลับไปที่สำนักงานไม่ได้ ฉันรู้ว่าถ้าเข้าไปแล้วจะไม่มีวันได้ออกมาอีก”

“แต่ทำแบบนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่ดี” ชายวัยกลางคนตอบกลับเสียงแข็ง “บ้านก็อยู่ที่นี่...แกจะหนีไปไหน? หรือคิดว่าจะออกจากซ่งเจียงได้งั้นเหรอ?” 

“ไม่ลองไม่รู้เว้ย” ฉีหลินพยักหน้าเป็นเชิง “ขับไป!”

“มึงนี่มัน…” ชายอีกคนสบถด่า

“อย่าบังคับให้ฉันทำ ช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยมีสติอยู่” ฉีหลินพูดด้วยแววตาแดงก่ำ “ถ้าฉันรอดพวกแกก็รอด”

ชายทั้งสองนิ่งเงียบ

“ออกรถสิ!” ฉีหลินย้ำอีกครั้งพร้อมกระชับปืนแน่น “ขับไปตามที่ฉันบอก”

ราวสิบห้านาทีต่อมา รถจี๊ปของพวกฉีหลินก็มาถึงถนนร้างแห่งหนึ่ง ห่างจากตัวเมืองประมาณห้ากิโลเมตร

“หยุดตรงนี้แหละ” ฉีหลินออกคำสั่ง

คนขับจ้องหน้าฉีหลินก่อนจะหักพวงมาลัยและเบรกกะทันหัน

“เอี๊ยด…”

 

เสียงล้อเบรกไถลไปกับถนนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งกระทั่งรถจี๊ปควบคุมไม่ได้และพุ่งลงคูน้ำข้างทาง

“อยากตายนักรึไง!” ฉีหลินกลิ้งไปตามแรงเหวี่ยงรถก่อนจะลุกขึ้นใช้ด้ามปืนทุบหัวคนขับ

คนขับรถกุมหัวตัวเองไว้พลางตะโกนเสียงแข็งว่า “ก็ทำตามที่สั่งแล้วยังจะเอาอะไรอีก? เอารถไปขับเองเลยไหม?!”

ฉีหลินส่องดูนอกหน้าต่างก่อนจะพบว่าล้อรถติดร่องลึก เขากัดฟันกรอดพลันเปิดประตูออกไปและหันมาชี้ปืนสั่งชายสองคนในรถ “ส่งโทรศัพท์กับอาวุธที่มีมาให้หมด!”

ชายสองคนมองหน้ากันก่อนจะรีบโยนปืนกับโทรศัพท์ออกนอกรถไป

“ปัง ปัง!”

ฉีหลินยิงล้อรถจี๊ปทั้งสองข้างก่อนจะเข้าไปค้นตัวทั้งสองอีกครั้งและออกคำสั่งว่า “อย่าตามฉันมา ไม่งั้นก็ตายพร้อมกันให้หมดนี่แหละ”

หลังจากค้นตัวแล้วฉีหลินก็หยิบปืนและโทรศัพท์บนพื้นก่อนวิ่งหนีไป

“แม่งเอ๊ย!”

ชายวัยกลางคนทุบพวงมาลัยรถพร้อมสบถอย่างโกรธแค้น “กล้าหักหน้านักล่าอย่างฉันงั้นเหรอไอ้เด็กเมื่อวานซืน!”

ชายอีกคนที่นั่งฝั่งผู้โดยสารเปิดลิ้นชักเก็บของพร้อมกับหยิบซองหนังด้านในออกมา “แกจะหัวเสียทำไม? โทรศัพท์ที่ใช้สั่งปล่อยสินค้าของเรายังอยู่”

ชายวัยกลางคนแววตาลุกโชนพลางกล่าวอย่างรีบร้อน “ชักช้าทำไมอยู่เล่า!ก็รีบแกะซองซะสิ!”

บนถนนสายหนึ่ง

รถตำรวจพุ่งทะยานไปตามเส้นทาง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นก่อนเครื่องยนต์จะเริ่มกระตุกและดับลง

แมวเฒ่ากระแทกหัวกับพวงมาลัยพลางสบถว่า “มาดับห่าอะไรตอนนี้เนี่ย?!”

ณ สถานีรถไฟสายเหนือ

โถงพักพิงข้างถนนที่ลาดยาวไปถึงทางเดินใต้ดิน ตอนนี้มีแม่และน้องสาวของฉีหลินกำลังรอให้แมวเฒ่ามาถึงอย่างใจจดใจจ่อ

………………………………….

รีวิวผู้อ่าน