ตอนดึกท้องของเธอจึงร้องครวญครางด้วยความหิวโหย
ฉิงกงแอบออกมาจากห้อง เธอตั้งใจเข้าไปในครัว เพื่อดูว่าพอมีอะไรให้กินบ้างหรือไม่ ?
หลังจากที่เธอเปิดประตูห้องออกมา และตั้งท่าจะลงบันไดไปชั้นล่าง ฉิงกงก็เผลอเตะกระถางดอกไม้ที่ตั้งอยู่บริเวณประตูล้ม จนเกิดเสียงดังเล็กน้อย เธอตกใจ แต่เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบใคร เวลานี้ทุกคนคงจะหลับสนิท คงไม่มีพวกคนรับใช้เหลืออยู่ในคฤหาสน์แล้ว
หลังจากยกกระถางดอกไม้ขึ้นตั้งเหมือนเดิมแล้ว ฉิงกงก็พุ่งตัวไปที่ห้องครัว ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน พ่อครัวแม่ครัว และคนรับใช้ต่างเข้านอนกันหมดแล้ว
ทันทีที่เธอเดินไปถึงห้องครัว เธอก็ได้ยินเสียงดังอยู่ภายในห้องนั้น
เสียงนั่นเหมือนเสียงของเจินเมี่ยวหยู
"เรื่องที่ฉันให้ทำต้องเร่งมือหน่อยนะ หากล่าช้าไปฉันกลัวจะไม่ทันการณ์ นังเด็กเซี่ยฉิงกงนั่นใช่ว่าจะจัดการได้ง่าย ๆ นะ"
*****
"อืม งั้นก็ตกลงตามนั้น ... "
*****
เซี่ยฉิงกงได้ยินเสียงขาด ๆ หาย ๆ ฟังไม่ชัดเจนนัก
อย่างไรก็ตามจากคำพูดของเจินเมี่ยวหยู เซี่ยฉิงกงมั่นใจว่าเจินเมี่ยวหยู ต้องคิดทำเรื่องไม่ดีแน่ ๆ ! ไม่งั้นทำไมจะต้องเข้ามาในห้องครัวกลางดึกกลางดื่นในยามที่ไม่มีใครด้วย ?
เสียงฝีเท้าดังออกมาจากห้องครัว แสดงว่าเจินเมี่ยวหยูวางสายแล้ว และกำลังจะออกมา
เซี่ยฉิงกงรีบซ่อนตัว เธอรอให้เจินเมี่ยวหยูออกพ้นจากห้องครัวไปก่อน เธอจึงเข้าห้องครัว
ตระกูลเซี่ยเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงในนครเซี่ยงไฮ้ บางคราเขาก็เชิญเชฟระดับห้าดาวมาทำอาหารให้ที่บ้านเป็นมื้อพิเศษ ในครัวจึงมีวัตถุดิบ และส่วนผสมสำหรับปรุงอาหารแทบทุกอย่าง ... แต่หากอาหารประจำวันเหลือก็จะไม่เก็บไว้ แม้ว่าเจ้านายจะไม่ได้กินอาหารนั่นเลยก็ตามที...
ดังนั้นหลังจากที่เซี่ยฉิงกงเดินวนไปวนมาสักพัก เธอก็ต้องถอนหายใจ และเตรียมปรุงอาหารด้วยตัวเอง
เธอใช้ชีวิตอิสระมาตั้งแต่เด็ก แม่บุญธรรมของเธอต้องยุ่งวุ่นวายกับการทำงาน ต้องเลี้ยงเธอและน้องสาวเซี่ยหว่านอิงด้วย ดังนั้นแม่จึงทิ้งหน้าที่การทำอาหารทั้งหมดที่บ้านให้ฉิงกง ด้วยเหตุนี้เธอจึงพัฒนาทักษะในการทำอาหารมาตั้งแต่ยังเด็ก
เธอเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างผักใบเขียวสด ๆ จากนั้นก็หยิบซอสเนื้อออกมาทำบะหมี่ซอสเนื้อกิน ชั่วขณะนั้นเซี่ยฉิงกงพลันเหลือบไปเห็นมู่เฉินฮ่าวยืนพิงประตูห้องครัวพลางมองมาที่เธออย่างขัน ๆ
ทันทีที่เห็นเขา ฉิงกงก็อารมณ์ไม่ดี แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะหล่อเหลาเอาการ หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ฉิงกงอยากจะกลอกตามองบนอย่างเอือมระอาเมื่อได้เห็นเขา
“คุณหนูใหญ่นึกยังไงถึงลงมาที่ห้องครัวกลางดึกกลางดื่น เพื่อทำอาหารด้วยตัวเองแบบนี้ ?” มู่เฉินฮ่าวกล่าว
ฉิงกงเหลือบมองมู่เฉินฮ่าว จากนั้นก็หยิบเนื้อสับ ขึ้นมาทำบะหมี่ซอสเนื้อต่อ
“ฉันจะนึกยังไงก็ช่าง ว่าแต่คุณชายมู่ คุณนึกยังไงถึงได้มาที่ห้องครัวบ้านคนอื่นกลางดึกกลางดื่นเพื่อดูคนทำอาหาร ?”
แม้จะโดนฉิงกงล้อเลียน มู่เฉินฮ่าวก็ไม่โกรธ เขากลับก้าวเข้าไปหาเซี่ยฉิงกงอย่างช้า ๆ
“จุ๊ ๆ ๆ คุณไม่ทำเผื่อผมสักชามเหรอ ?”
ฉิงกงมองมู่เฉินฮ่าว จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ มู่เฉินฮ่าวมองรอยยิ้มนั้น พลันเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกหัวใจเขา เขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ
รอยยิ้มของฉิงกงดูราวกับมีเวทมนตร์ มันผสมผสานระหว่างความมีเสน่ห์ และความไร้เดียงสา ช่างพิเศษเหลือเกิน
แต่ประโยคถัดไป ก็ทำให้มู่เฉินฮ่าวอยากทุบเธอสักพลั่ก
"อยากกินเหรอ งั้นก็ขอร้องฉันสิ ขอร้องสิ แล้วฉันจะให้น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวคุณสักชาม"
ฉิงกงเผชิญหน้ากับชายผู้เย่อหยิ่งเย็นชาตรงหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะหันหน้ากลับไปทำบะหมี่ซอสเนื้อของตัวเองต่อ โดยไม่สนใจมู่เฉินฮ่าวอีก
ตามที่คนเขาว่า ‘กองทัพต้องเดินด้วยท้อง’ ดังนั้นการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
หลังจากทำบะหมี่ซอสเนื้อเสร็จ ฉิงกงก็ไม่ลืมที่จะล้างมะเขือเทศไว้กินเป็นผลไม้หลังอาหารเย็นด้วย ในครัวของบ้านสกุลเซี่ย แม้ว่าจะไม่มีอาหารสำเร็จรูป ทว่าก็มีส่วนผสมมากมายให้เลือกใช้ในการปรุงอาหาร
มู่เฉินฮ่าวนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ เขาเอาแต่เอียงคอมองเซี่ยฉิงกงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ครั้นถูกจ้องมองอยู่แบบนั้น เซี่ยฉิงกงก็รู้สึกอึดอัด "นี่ คุณชายมู่ ตกลงคุณมาที่นี่เพื่อมาดูฉันกินเนี่ยนะ ทำไมเหรอ ? เป็นงานอดิเรกพิเศษของคุณหรือไง ? การมานั่งดูคนกินเนี่ย ?"
***จบตอน ฉันจะให้คุณกินน้ำก๋วยเตี๋ยว***