"หลังจากที่พวกเราออกจากโกดัง อาเจิ้งก็พาเขาไปที่สำนักสันติบาล" มู่เฉินฮ่าวตอบ (ประเทศจีนเรียกสถานีตำรวจว่า 公安局 (gōng’ānjú, กงอันจวี๋) แปลตรงตัวได้ว่า “สำนักสันติบาล”)
เซี่ยฉิงกงขมวดคิ้วพยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก ผมยาวสลวยราวน้ำตกพลิ้วไหวเบา ๆ สะท้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากหน้าต่าง ช่างเป็นความงามที่ไม่อาจพรรณนาได้
ชั่วขณะนั้น..ชายหนุ่มก็รู้สึกใจลอยเหมือนโดนมนตร์สะกด แม้เขาจะไม่อาจพูดได้ว่าชอบผู้หญิงตรงหน้า แต่เขาก็รู้สึกดีมากเมื่อได้คุยกับเธอ
แม้ว่าเซี่ยฉิงกงจะทำลายชีวิตของเฉินเหวินกัง แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นผลมาจากการกระทำของเฉินเหวินกังเอง
เซี่ยฉิงกงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า
"ทำตามบัญชาสววรค์"
"แล้วคุณพบตัวฆาตกรหรือไม่ ?" เซี่ยฉิงกงถาม
"เขาฆ่าตัวตาย อาเจิ้งส่งตัวเขาไปที่สำนักสันติบาล ตำรวจก็กักตัวเขาไว้ชั่วคราวก่อนจะส่งเรื่องดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เขาก็ฆ่าตัวตาย โดยการกลืนยานอนหลับจำนวนมากที่เขาแอบซุกซ่อนไว้กับตัว"
ฆ่าตัวตาย
ความคิดของเธอสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว
"ฉันจำได้ว่า คุณติดตั้งเครื่องบันทึกที่แขนของเฉินเหวินกัง แล้วคุณได้ยินอะไรแปลก ๆ ไหม ? เช่นเฉินเหวินกังโทรหาใคร ? หรือพูดอะไรกับตัวเอง ?"
"คุณเซี่ย คุณพอจะมีมันสมองบ้างมั้ย ? โทรศัพท์ขณะอยู่ในสำนักสันติบาลเนี่ยนะ ?" มู่เฉินฮ่าวเยาะเย้ย
เซี่ยฉิงกงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าเล็ก ๆ ขึ้นโต้กลับ
“ก็ฉันยังไม่เคยเข้าไปอยู่ในสำนักสันติบาลนี่ ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า หากอยู่ในนั้นฉันจะสามารถโทรออกได้หรือไม่ หรือว่าคุณ... นายน้อยมู่เคยเข้าสำนักสันติบาล ? ถึงได้รู้ดีนัก ?”
“อืม..ดูเหมือนว่าตระกูลเซี่ยจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผมอีกแล้ว”
เอาเรื่องนี้มาขู่เธออีกแล้วเหรอ ?
“โอเค ... ไอ้คนใจร้าย ... ฉันผิดเอง ตกลงไหม ? ฉันขอโทษนายน้อยมู่ ฉันขอโทษ”
เซี่ยฉิงกงยอมรับว่านี่คือจุดอ่อนของเธอ หากปราศจากความช่วยเหลือของมู่เฉินฮ่าว คงเป็นเรื่องยากที่เซี่ยฉิงกงจะค้นพบเรื่องราวแท้จริงในเวลานั้น และไม่มีทางที่จะฆ่าแม่เลี้ยงและน้องสาวที่แทงข้างหลังเธอได้
เธอยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ? มู่เฉินฮ่าวคลี่ยิ้มที่มุมปาก เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังของผู้บริหาร จากนั้นก็ก้าวไปที่เซี่ยฉิงกง มือใหญ่ของเขาเชยคางของเซี่ยฉิงกงเบา ๆ
"ขอโทษแค่เนี้ยนะ ? ขอโทษแล้วหายเหรอ ?"
“แล้วอย่างนั้นคุณยังต้องการอะไรอีก ?”
เซี่ยฉิงกงถามกลับ ก็เธอขอโทษแล้วเขายังต้องการอะไรอีก ?
“คุณทำไม่ได้หรอก”
เซี่ยฉิงกงตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ สีหน้าของเธอเปลี่ยนจากขาวใสกลายเป็นสีเขียว เธอปัดมือของมู่เฉินฮ่าวออกโดยไม่รู้ตัว พร้อมกันนั้นก็หันหลังกลับตั้งท่าจะผละจากไป หากแต่กลับถูกชายหนุ่มกักขังไว้ในอ้อมแขนของเขา
จังหวะเต้นของหัวใจชายหนุ่มแทรกซึมผ่านเนื้อผ้าบาง ๆ เข้าไปถึงร่างของเซี่ยฉิงกง ทำให้เซี่ยฉิงกงอึดอัดเล็กน้อย
เซี่ยฉิงกงอายจนหูแดง ผู้ชายคนนี้คิดจะแต๊ะอั๋งเธออีกแล้วหรือ ? กอดเธอทั้งที่เธอไม่ยินยอมสักหน่อย ?
"ปล่อยฉันนะ คนอันธพาล !"
"คุณเป็นคู่หมั้นของผม ทำไมผมจะกอดคุณไม่ได้..หืม ?"
ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกัน และเริ่มต้นทะเลาะกันอีกครั้ง ในที่สุดเซี่ยฉิงกงก็กัดเข้าที่ไหล่ของมู่เฉินฮ่าวอย่างแรง ทำให้มู่เฉินฮ่าวยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด และผละไปอย่างหงุดหงิด
อาเจิ้งยืนรอที่ประตู เขาได้ยินคนทั้งสองโต้เถียงกัน เลยไม่กล้าเข้าไป เวลานี้มีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มศีรษะของเขา นายน้อยกับนายหญิงน้อยหยอกล้อกันอย่างอบอุ่นและรักใคร่ ... และเขาก็มาได้ยินเข้าพอดี
อาเจิ้งไม่เคยมีแฟน เขาเข้าตระกูลมู่ตั้งแต่อายุสิบขวบ และเริ่มทำงานให้กับตระกูลมู่เมื่อมีอายุได้สิบห้าปี เขาเรียนรู้ทักษะมากมายเพื่อติดตามมู่เฉินฮ่าว ทว่าเวลานี้ใบหน้าของเขากลับแดงก่ำเมื่อได้ยินเสียงและการเคลื่อนไหวภายในห้อง
ครั้นเซี่ยฉิงกงเปิดประตูออกจากห้องหนังสือของมู่เฉินฮ่าว เธอก็รู้สึกประหลาดใจ ทั้งอายเล็กน้อย เมื่อเห็นอาเจิ้งที่ประตู
"อา..อาเจิ้ง ...”
***จบตอน เป็นคู่หมั้นกัน..ทำไมจะกอดไม่ได้ ?***