ตอนที่ 15
พลังของสกิล แบ่งออกเป็น 2 อย่าง
อย่างที่หนึ่งคือ ปัจจัยเวทย์ กับ ระดับเวทย์
อย่างที่สองคือ อบิลิตี้ ยิ่งคุณใช้สกิลจนชำนาญมากเท่าไหร่
ความสามารถของสกิลก็จะพัฒนาตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ การที่เขาปล่อยสกิลทุกอย่างที่มี
ในที่แห่งนี้ มันจึงมีประโยชน์ต่อเขามากๆ
<>
หลังจากที่ผ่านการต่อสู้กับมอนสเตอร์มาอย่างยาวนาน
ในที่สุดซูฮยอนก็มีโอกาสพักหายใจกายคอสักที
“ฟู่”
ดูเหมือนสกิล 'เพลิงพิโรธ' ของเขาจะมี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาสมควร
ไม่ใช่แค่นั้น สกิล 'ยั่วยุ' ของเขาก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
เพื่อเพิ่มความสามารถของสกิล มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการต่อสู้อีกแล้ว
<>
ซูฮยอนเลียริมฝีปากของตัวเองแล้วมองดูซากมอนสเตอร์ที่กองอยู่กับพื้น
“เหนื่อยเป็นบ้า”
ชั้นที่ 10
มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะทำมันด้วยตัวคนเดียว
ซูฮยอนแปลกใจมากๆที่เขาเจอเจ้า อสรพิษล่าเนื้อในชั้นที่ 10
“ยังดีนะที่เจ้า อสรพิษ ไม่ได้ทำอะไรหมู่บ้านมากนัก ถ้าหากมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมาอีกละก็ หมู่บ้านแห่งนี้ได้ล่มสลายลงแน่ๆ”
เจ้าอสรพิษล่าเนื้อ จะปล่อย ฟีโรโมนรอบๆบริเวณอาฌาเขตของมัน เพื่อไล่มอนสเตอร์ออกไป
ถ้าไม่มีมัน หมู่บ้านแห่งนี้คงพังพินาศไปก่อนที่ซูฮยอนจะมาก็เป็นได้
“พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
อาหารสำหรับเจ้าลูก อสรพิษ ทั้ง 6 ตัว มีพร้อมแล้ว
ส่วนมอนสเตอร์ที่เกินมา เป็นเพราะซูฮยอนต้องการเพิ่มความสามารถของสกิล
เลยทำให้เขาเพลินมือไปหน่อย
ซูฮยอนเรียกชาวบ้านทั้ง 6 คน ออกมา
“มอนสเตอร์ที่กองอยู่นี้ทั้งหมด คืออาหารของเจ้าตัวเล็กนั้น”
“คุณล่ามันทั้งหมดคนเดียวเลยเหรอ”
ชาวบ้านทั้ง 6 คน มองดูซูฮยอนที่กำลังหายใจหอบ
มีซากศพมอนสเตอร์มากมายที่กองอยู่บนพื้น
สภาพของพวกมันส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก
“ไปเตรียมรถเข็นมา แล้วจัดการยัดศพกลับไปที่หมู่บ้านซะ”
“ครับ ได้ครับ”
“เออ..ผู้มีพระคุณครับ คุณจะกลับไปพร้อมกับพวกเราไหมครับ”
ผู้มีพระคุณ? นัยน์ตาของซูฮยอนกระตุกขึ้นลง
“พวกคุณกลับไปก่อน เดียวผมตามไป”
“ทำไมล่ะครับ คุณกลับพร้อมกับพวกเราเถอะ”
“ใช่ครับ..อาหารของชาวบ้านจวนจะเสร็จแล้วด้วย ไปกับพวกเราเถอะครับ”
ดูท่าทางพวกเขาจะกังวลเรื่องของซูฮยอนมากเป็นพิเศษ
พวกเขาคงกลัวว่าซูฮยอนจะแอบหนีไป
แล้วปล่อยพวกชาวบ้านทิ้งไว้ ให้สู้กันเองตามยถากรรม
ถึงตอนแรกซูฮยอนจะเป็นแค่คนนอก ที่ดูไม่น่าไว้ใจ
แต่ ณ เวลานี้ ซูฮยอนกลับกลายเป็นคนที่ชาวบ้านไว้ใจมากที่สุด
ซูฮยอนเองก็ดูเหมือนอ่านความคิดของพวกเขาออก
แต่เขายังมีภารกิจที่ต้องทำอีกอย่าง..
“เจ้าอสรพิษล่าเนื้อ มันยังเล็กอยู่ ซึ่งมันยังไม่สามารถปล่อยฟีโรโมนออกมาได้ อย่างน้อยที่สุด ก็อีก 1 เดือน พวกมันถึงจะพร้อมสร้างอาณาเขตใหม่อีกครั้ง”
“ถ้างั้น..หมู่บ้านของเรา..”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฮยอน ชาวบ้านก็พากันหน้าซีด
คำพูดของซูฮยอนแสดงให้เห็นว่า 1 เดือนต่อจากนี้ หมู่บ้านแห่งนี้จะตกอยู่ในความโกลาหล
มอนสเตอร์จากภายนอก จะบุกลุกหมู่บ้านเพื่อล่าอาหาร...
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้ นั้นก็คือ
บททดสอบของซูฮยอน ที่เขากำลังทำอยู่
เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้หมู่บ้านแห่งนี้ล้มสลายแน่นอน
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมปกป้องหมู่บ้านเอง”
“จริงเหรอครับ”
“ผู้มีพระคุณ จะสู้กับพวกมัน ด้วยตัวคนเดียวจริงๆเหรอครับ” ชาวบ้านอีกคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แต่ว่า… ทำไมกัน..”
ถ้าเป็นเวลาปกติ ชาวบ้านคงจะดีใจที่ซูฮยอนช่วยเหลือหมู่บ้านของพวกเขา
แต่พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมซูฮยอนถึงช่วยเหลือพวกเขามากขนาดนี้
ซูฮยอนมีอะไรปิดบังชาวบ้านอยู่หรือป่าว
ถ้าคุณไม่โง่จนเกินไป คงไม่มีไอ้บ้าคนไหนช่วยเหลือ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแน่ๆ
ถึงแม้ชาวบ้านจะมีข้อสงสัยต่อซูฮยอนเต็มไปหมด
พวกเขาก็ทำได้แค่ปล่อยมันทิ้งไป
พวกเขาขอแค่ ให้ซูฮยอนปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้จนอยู่รอดปลอดภัยก็พอ
“เอาหล่ะ ทุกคน เดียวผมจะตรวจตราบริเวณรอบๆหมู่บ้านสักหน่อย พวกคุณแค่จัดการหน้าที่ของคุณให้เสร็จก็พอ บอกชาวบ้านด้วยว่าไม่ต้องห่วงผม ถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้วผมจะกลับไป”
เมื่อพวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวซูฮยอนได้อีก
พวกเขาก็ต้องทำใจปล่อยซูฮยอนไปตามเส้นทางที่เขาเลือก
<>
<>
หลังจากซูฮยอนพักหายใจหายคอเสร็จ เขาก็ออกสำรวจรอบๆหมู่บ้านอีกครั้ง
ซูฮยอนใช้เวลาตลอดทั้งวันในการตามล่าเจ้ามอนสเตอร์
เขาฆ่าพวกมันไปหลายสิบตัวจนซากศพกองเป็นพะรุงพะรัง
เวลาผ่านไปไว้เหมือนโกหก
โชคดีมากที่พื้นที่ภายในหมู่บ้านคือเขตปลอดภัย
มันทำให้ซูฮยอนสามารถกลับสู่โลกแห่งความจริงอย่างไร้ความกังวล
ทุกครั้งที่ซูฮยอนกลับสู่โลกแห่งความจริง เขาจะติดต่อกับชินชูย็องทุกครั้ง
เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วงเขา
เมื่อเขากลับเข้ามาให้หอคอยแห่งการทดสอบ
เขาก็ออกล่ามอนสเตอร์ซ้ำไปซ้ำมา
จนมันเป็นกิจวัตรประจำวันของซูฮยอน
นานวันเข้าทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อซูฮยอนเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อซูฮยอนมาถึงหมู่บ้านครั้งแรก
สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ทว่าว่าตอนนี้ สายตาของชาวบ้านกลับเต็มไปด้วยความเป็นมิตร
เหตุเป็นเพราะซูฮยอนพิสูจน์แล้วว่าเขาพยายามช่วยหมู่บ้านมากขนาดไหน
เมื่อได้รับคำสั่ง ให้ฝึกเจ้าอสรพิษล่าเนื้อ
ชาวบ้านทุกคนต่างพากลับพลัดเปลี่ยนไปให้อาหารเจ้าอสรพิษน้อยกันเป็นประจำ
ขนาดลำตัวของเจ้า อสรพิษ เริ่มตัวใหญ่ขึ้น
มันเป็นเพราะอาหารที่ชาวบ้านนำไปให้ไม่เคยขาดไม่เคยสาย
ณ. กลางดึกที่เงียบสงบ ซูฮยอนเดินกลับเขาหมู่บ้านมาอย่างอ่อนล้า
หลังจากพยายามมาหลายสิบวัน สกิลของเขาก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
[สำเร็จแล้ว:65 เปอร์เซ็นต์]
ซูฮยอนพอใจมาก หลังเห็นบททดสอบของเขาผ่านได้ครึ่งทางแล้ว
<>
เมื่อเห็นว่าความสำเร็จยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มันทำให้ซูฮยอนรู้สึกตัดสินใจถูกที่ยังคงอยู่ในชั้นนี้ต่อไป
เมื่อซูฮยอนกลับมาถึงเต๊นท์หลังโทรมๆของตัวเอง
เขาว่างข้าวของเครื่องใช้ไว้ข้างลำตัว
แล้วล้มตัวลงนอน
วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยอีกวันหนึ่งของซูฮยอน
หลังจากต่อสู้กับมอนสเตอร์มาหลายสิบวัน
มันทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ณ. ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาเริ่ม เขยิบเข้าไปใกล้ในอดีตอีกครั้ง
<>
หมู่บ้านแห่งนี้คล้ายคลึงกับโลกมนุษย์ในอดีตที่ซูฮยอนอาศัยอยู่
มนุษย์ทุกคนอยู่อย่างหวาดผวา และไม่นานโลกก็ถูกทำลาย
<>
ขณะที่ซูฮยอนกำลังจะหลับตาลง
เขาก็ได้ยินเสียงคนเหยียบพื้นดัง ก๊อบแก๊บ ดังออกมาจากนอกเต๊นท์
ด้วยขนาดเต๊นท์ที่เล็กมากๆ ทำให้ซูฮยอนรู้ได้ทันทีว่ามีคนอยู่ด้านนอก
ซูฮยอนพยายามรากสังขารที่เหนื่อยล้าของเขา ไปด้านนอกเต๊นท์
เมื่อซูฮยอนออกมาด้านนอก
เขาก็พบกลับเด็กน้อยคนหนึ่ง กำลังยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ข้างๆเต๊นท์ของเขาอยู่
“เด็กน้อย?”
“เอิ๊ก”
เด็กน้อยคนนี้ ซูฮยอนเคยพอเจอเมื่อ 2-3 วันที่แล้ว
ดูเหมือนว่าเธอจะมาหาซูฮยอน
แต่เธอก็กลัวจะรบกวนเขา เธอจึงตัดสินใจย่องมาหาเขาเงียบๆแทน
เมื่อมองไปที่เด็กน้อย ที่กำลังโดนต้นไม้ปิดบังไว้ครึ่งหน้า ซูฮยอนก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ออกมาเถอะพี่เห็นแล้ว หนูมาหาพี่เหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมหนูยืนไกลจัง มาใกล้ๆพี่ไหม จะได้คุยกันรู้เรื่อง”
“หนูไม่ได้ชื่อเด็กน้อยสักหน่อย หนูชื่อว่า เมลลี”
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจที่ซูฮยอนเรียกเธอว่าเด็กน้อย
เมลลีเฝ้ามองซูฮยอนอยู่นาน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรเธอ
เธอจึงรวบรวมความกล้าแล้วเดินไปหาซูฮยอน
เมลลีค่อยเดินมาหาซูฮยอนอย่างช้าๆด้วยร่างกายเล็กๆของเธอ
“หนูให้นี่ค่ะ”
หลังจากที่เธอเข้ามาใกล้ๆกับซูฮยอน
เธอก็ยื่นมือเล็กของเธอขึ้นมา พร้อมกับขนมปังก้อนเล็กขนาดเท่ากำปั้นของเธอให้ซูอยอน
“ขนมปังงั้นเหรอ ให้พี่เหรอคะ”ซูฮยอนถามกลับไป
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมหล่ะ”
“มันคือของขวัญแทนคำขอบคุณจากหนู”
“แทนคำขอบคุณ?”
“หนูได้ยินว่ามาพี่ชายได้ปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ ขอบคุณจริงๆค่ะ ที่ช่วยปกป้องหมู่บ้านของหนูไว้”
ดูเหมือนวีรกรรมของเขาจะกระจายไปทั่วหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อย
“พี่ชายค่ะ พี่รู้ไหมว่าหัวหมู่บ้านเป็นนักต้มตุ๋นตัวยงเลย แถมยังเป็นคนที่น่ากลัวมากๆ หนูรู้อยู่แล้ว แต่ว่า..”
“หนูรู้ได้ยังไงค่ะ”ซูฮยอนถาม
“เขาได้หลอกพี่ชายของหนูไปกินขนม แต่พี่ชายของหนูก็ไม่กลับบ้านอีกเลย”
ใจของซูฮยอนเริ่มดำดึ่งลง
เมื่อได้ยินคำตอบของเมลลี เธอรู้การกระทำของหัวหน้าหมู่บ้านทุกอย่าง
แต่เธอก็ไม่สามารถบอกใครได้
ถึงบอกไป ใครจะไปเชื่อเด็กอย่างเธอกัน
เพราะฉะนั้นเธอจึงเก็บความเศร้าจากการเสียพี่ชายไว้ในใจตลอดมา
มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เมลลีเกียจหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไส้
ชาวบ้านทุกคนต่างยกหัวหน้าหมู่บ้านเป็น วีรบุรุษ ของพวกเขา
แต่สำหรับเมลลี หัวหน้าหมู่บ้านเป็นมารร้ายในร่างมนุษย์มากกว่า
“พี่ชายค่ะ ชาวบ้านทุกคนยกย่องพี่ชายเป็น ฮีโร่ ของหมู่บ้าน เรื่องจริงไหมคะ หนูได้ยินพวกป้าๆคุยกันแบบนั้น”
“ฮีโร่..”
“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นพี่ชาย โปรดรับขนมปังชิ้นนี้ไปเถอะค่ะ”
โครก โครก
ในขณะที่เธอกำลังลังยื่นขนมปังในซูฮยอน เสียงท้องร้องของเด็กน้อยก็ดังขึ้น
ซูฮยอนที่กำลังยื่นมือออกไปรับขนมปัง
มือของเขาก็หยุดชะงักอยู่กลางกลางอากาศ
ทำไมกัน ทำไมเด็กที่น่ารักแบบเธอถึงน่าสงสารแบบนี้
ถึงเธอจะหิวมากแค่ไหน
แต่เธอยังคงยืนกรานคำเดิน ว่าจะให้ขนมปังซูฮยอนให้ได้
ซูฮยอนหลับตาลง ความรู้สึกเวทนาเริ่มก่อขึ้นในใจของเขา
<>
เขาไม่ใช่ ฮีโร่
เพราะในชีวิตที่แล้วความหวังที่มนุษย์ตั้งไว้ เขาก็ทำไม่สำเร็จ
ทว่า..สายตาของเด็กน้อยตรงหน้าซูฮยอน
มันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ดูเหมือนว่าเธอจะนับถือซูฮยอนเป็นฮีโร่จริงๆ
ซูฮยอนลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปทีเมลลี
“มีอะไรเหรอค่ะ พี่ชาย”
<>
ฉันควรปฏิเสธเธอดีไหม?
ไม่ได้ ถ้าเขาปฏิเสธเธอ
เธอคงร้องไห้แน่ๆ
ซูฮยอนไม่อยากเห็นน้ำตาของเด็กน้อยอีกแล้ว ในขณะที่ซูฮยอนกำลังคิดอยู่นั่น
“เมลลี ลูกกำลังทำอะไรอยู่ ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าลูกของฉันรบกวนคุณ”
แม่ของเมลลีปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน
เธอโอบลูกของเธอไว้ในอ้อมกอด
เพราะเธอกลัวว่าลูกของเธอจะทำให้ซูฮยอนไม่พอใจ
ซูฮยอนรีบโบกมือไปมาทันที
“ไม่ต้องกังวลครับ เธอไม่ได้รบกวนอะไรผม อีกอย่างเธอก็คุยสนุกด้วย”
“เห็นไหมแม่ หนูไม่ได้รบกวนพี่ชายสักหน่อย”
“เมลลี!”
ดูเหมือนผู้เป็นแม่ต้องการให้เมลลีหยุดพูด เธอเอามือปิดปากของเมลลีไว้
ผู้เป็นแม่ก้มหัวขอโทษซูฮยอนอีกครั้ง
“ขอโทษจริงๆค่ะ เด็กคนนี้หัวรั้นไปหน่อย ถ้าฉันไม่จับตาดูเธอไว้ดีๆ เธอคงไปสร้างปัญหาอีกแน่ๆ”
“มันไม่อะไรจริงๆครับ ไม่ต้องไปโกรธเมลลีหรอกครับ”
เมื่อผู้เป็นแม่เห็นว่าซูฮยอนไม่ได้โกรธเมลลี เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พี่ชาย ไม่กินเหรอค่ะ”
เมลลีพยายามยื่นขนมปังที่แข็งกระด้างให้ซูฮยอนอีกครั้ง
เมื่อผู้เป็นแม่เห็นว่าเมลลีเริ่มเสียมารยาทอีกครั้ง เธอจึงเริ่มตำหนิเมลลีเบาๆ
ซูฮยอนมองดูปฏิกิริยาของสองคนแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม
เขายืนมือไปหยิบขนมปังจากมือเมลลีขึ้นมา
“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะเมลลี จริงสิพี่ก็มีของขวัญให้เมลลีเหมือนกัน”
"ดูๆดีนะ"
หน้าตาของเมลลีดูร่าเริงขึ้นทันที่เมื่อเห็นขนมชิ้นใหญ่กว่าของเธอหลายเท่า โผล่ออกมาจากกระเป๋าของซูฮยอน
“ว๊าว”
ขนมปังของซูฮยอนมันดูนุ่มนิ่ม น่าทานมากๆ
เมลลีดูอย่างตื่นเต้นพร้อมกับน้ำลายที่เริ่มไหลออกมาจากปากเล็กๆของเธอ
แม่ของเมลลีเริ่มปวดหัวอีกครั้งเมื่อเห็นอาการลูกสาวของเธอที่แสดงออกมา
แต่ครั้งนี้เธอไม่สามารถดุเมลลีได้แล้ว
“เมลลี ลูกกินไม่ได้นะ มันเป็นของพี่เขา ไม่ใช่ของลูกเพราะฉะนั้น..”
แต่ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะพูดจบ ซูฮยอนได้จับขนมปังใส่ปากของเขาและเมลลีทันที
“อืม… อาหร่อย”ซูฮยอนกล่าว
ความจริงคำเมื่อครู่เขาไม่ได้เคี้ยวมันเลยสักนิด
เขากัดเสร็จก็กลืนมันลงท้องทันที
ทำให้รสชาติที่เขาสัมผัสแทบไม่มีเลย
แต่สำหรับเมลลี เธอเคี้ยวอย่างปราณีตและตั้งใจ
“อร่อยจริงๆค่ะ”
มันเป็นคำตอบที่ออกมาจากใจจริงๆ
มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ในการพยายามกลืนขนมปังที่ทั้งแข็งและเหนียว
มันไม่ควรถูกเรียกว่าขนมปังด้วยซ้ำ
มันความเรียกว่าก้อนหินซะมากกว่า
ซูฮยอนหวังว่าเธอจะจำรสชาติของขนมปังที่อร่อยที่สุดในโลก ในวันนี้ไปตลอดชีวิต
[ฝากติดตามแฟนเพจด้วยนะครับ >> อ๊ปไปแปล ]