ตอนที่ 27
“ฟู่ ฟู่”
“ฟู่ พวกเรารอดแล้วใช่ไหม”
เมื่อสมาชิกปาร์ตี้หนีออกมาได้ พวกเขาก็พากันนั่งลงกับพื้นแล้วหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาได้สักที
ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาระบมไปหมดทั้งตัว
แต่ก็มีอยู่คนหนึ่ง ที่ดูมีสภาพดีกว่าเพื่อน นั้นก็คือ อามินซอก เพราะเขามีสเตตัสด้านสุขภาพดีกว่าคนอื่น
เขาหาที่พักพิงแล้วหันไปมองดันเจี้ยน
“พวกเรา ดูสีของดันเจี้ยนสิ..”
เมื่อลีอึนมีเห็นสีหน้าที่ตกใจของอามินซอก เธอก็หันกลับไปมองดันเจี้ยน
“สะ..สีเหลือง”
“จริงดิ เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย”
เมื่อตอนที่พวกเขาเข้าไปตอนแรกมันยังเป็นสีส้มอยู่เลย
ไหงมันถึงกลายเป็นสีเหลืองไปได้?
หรือว่าพวกเราจะโดนสกิลลวงตากัน..
ถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องทำใจยอมรับมันอยู่ดี
<<ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงยากขึ้น>>
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยจำนวนคนเพียงแค่นี้
ที่สำคัญ ระดับแรงค์ของพวกเขาก็น้อยเกินไป
ถ้าอยากเคลียร์ดันเจี้ยนระดับสีเหลืองแบบชัวร์ๆร้อยเปอร์เซ็นต์
คุณต้องใช้จำนวนคนอย่างต่ำ 10 คน และอยู่ในแรงค์ B เป็นอย่างน้อย
“อ๊ากกก”
ตุบ
คิมบารึมผู้ที่ออกมาจากดันเจี้ยนคนสุดท้าย สะดุดก้อนหินจนล้มพับกับพื้น
ดูเหมือนขาของเขาจะเหนื่อยล้าเกินไป
แม้แต่ก้อนหิน ก้อนเล็กยังทำเขาให้สะดุดล้มได้
“นายไหวอยู่ไหม”
“แล้วลีจุนโฮล่ะ เขาอยู่ไหน”อามินซอกและลีอึนมีเดินเข้ามาหาแล้วถาม
คิมบารึมจับแขนของอามินซอก แล้วพยุงตัวเองขึ้น เขาเปิดปากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ขะ..เขาตายแล้ว”
“ตายแล้ว?”
“ที่คุณพูดมันคือเรื่องจริงเหรอ เขาตายได้ไง?” ลีอึนมีถามกลับด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่พวกเขาพากันวิ่งหนี
พวกเขายังเห็นลีจุนโฮวิ่งตามหลังมาอยู่เลย
เพราะฉะนั้นลีจุนโฮจะตายได้ไง?
คิมบารึมดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“ไอ้บ้านั้นมัน…”
เมื่อมองดูปฏิกิริยาของคิมบารึม ที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
ดูเหมือนเรื่องทุกอย่างจะเป็นความจริง
“ไม่จริงใช่ไหม..”
“เวณเอ้ย”
ลีจุนโฮตายแล้ว
และยิ่งไปกว่านั้น คิมซูฮยอน ยังตายตามไปอีก
………………
“อ๊ากก”
ลีจุนโฮร้องออกมาอย่างเลือดจัด
เขาล้มตัวลงนอนกับพื้นแล้วจ้องมองเพดานถ้ำ
รอบๆตัวเขา มีแต่ซากมอนสเตอร์มากมายเต็มไปหมด
“ฉันไปต่อไม่ไหวแล้ว นายหนีไปก่อนเลย”
“งั้นเหรอ”ซูฮยอนพูดพร้อมกับเช็ดเหงื่อที่หน้าผากไปด้วย
ถึงแม้พวกเขาพึ่งจะผ่านศึกหนักมา แต่ดูเหมือนร่างกายของซูฮยอนจะดูดีกว่าลีจุนโฮหลายเท่า
เขายังมีมานาในร่างกายเหลือเฟืออยู่
เพราะการต่อสู้ที่ผ่านมาของซูฮยอน
เขาไม่ได้ใช้สกิลเลยสักนิด
เขาใช้แต่ทักษะความสามารถส่วนตัวเท่านั้น
“ดะ..เดียวก่อนนายจะไปจริงดิ?”ลีจุนโฮที่นอนอยู่ เขากระเด้งตัวขึ้นมานั้งทันที
“ใช่แล้ว”
ความจริงซูฮยอนก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน
เพราะถ้าร่างกายของเขาหายเหนื่อย
ซูฮยอนมั่นใจว่า เขาจะใช้ความสามารถออกมาได้เต็มที
แต่ว่า...
[เหลือเวลาอีก 00:30:28.]
มันยังเหลือภารกิจอีกหนึ่งอย่างในพวกเขาทำ
ซึ่งมันเป็นภารกิจของดันเจี้ยนโดยเฉพาะ
[ทำลายหินอัญเชิญ]
นี่คือสิ่งที่ระบบต้องการให้ทำ
มันเป็นภารกิจที่ยากมากๆ
เพราะเป็นภารกิจมันจำกัดเวลา
ซูฮยอนและลีจุนโฮไม่รู้ว่าจะทำมันสำเร็จก่อนที่เวลาจะหมดหรือป่าว
ถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ
พวกเขาอาจจะถูกระบบลงโทษก็ได้
“อ่า...คือ..” ลีจุนโฮยืนขึ้นจากพื้นและถามซูฮยอน
“มันใกล้จบแล้วใช่ไหม?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ๊ากกกก”ลีจุนโฮเริ่มขยี้ผมอของตัวเองอีกครั้ง
เมื่อเห็นลีจุนโฮขยี้หัวตัวเอง ซูฮยอนก็ยิ้มออกมาอย่างขบขัน
ดูเหมือนลีจุนโฮจะติดนิสัยขยี้ผมของตัวเองไปซะแล้ว
‘เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ’ ซูฮยอนคิด
หลังจากที่ลีจุนโฮเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูฮยอน
ทัศนคติก็ลีจุนโฮก็เปลี่ยนไป
เขาในตอนนี้ไม่เหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าปาร์ตี้เลยสักนิด
“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
ซูฮยอนหรี่นัยน์ตาลงแล้วมองไปที่ปลายทางถ้ำ ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
“ดูเหมือนฉันจะเห็นอะไรบางอย่างนะ”
“หืม..”ลีจุนโฮหรี่นัยน์ตาลงตามซูฮยอน แล้วมองไปที่ปลายถ้ำ
ที่ปลายถ้ำ มีก้อนหินสีครามขนาดใหญ่ตั้งอยู่
“นั้นมัน...หินอัญเชิญใช่ไหม?”
“น่าจะใช่”
“งั้น...ถ้าพวกเราทำลายมันได้ ทุกอย่างก็จะจบลงสินะ”ลีจุนโฮพูดพร้อมกับนัยน์ตาที่เปล่งประกาย
ถึงแม้สีหน้าของลีจุนโฮดูมีความหวัง
แต่กลับกัน สีหน้าของซูฮยอนดูเคร่งเครียดขึ้น
สีของดันเจี้ยนส่วนใหญ่ จะถูกกำหนดโดยมานาของมอนสเตอร์ที่อยู่ภายใน
แต่ก็มีบางครั้งเช่นกัน ที่ดันเจี้ยนเปลี่ยนสีแบบกะทันหัน
ซึ่งมันเหมือนกับเหตุการณ์ตอนนี้เป๊ะๆ
หินอัญเชิญ
เป็นสื่อกลางอัญเชิญมอนสเตอร์จากต่างมิติ
ถ้ามอนสเตอร์ยังตัวตนอยู่ พวกมันจะถูกอัญเชิญมาออกมาได้เรื่อยๆ
เมื่อมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นสีของดันเจี้ยนก็จะพัฒนาอย่างช้าๆ
เมื่อดันเจี้ยนไม่สามารถรับจำนวนของพวกมันได้
ในไม่ช้า มอนสเตอร์จะหลุดออกมาด้านนอกของดันเจี้ยน แล้วเข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์
มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขี้นแล้วในอดีตด้วยเช่นกัน
เช่น จังหวัด คย็องกี เนื่องจากดันเจี้ยนรับจำนวนมอนสเตอร์ไม่ไหว จนพวกมันล้นออกมาด้านนอก
ไม่ช้าพวกมันก็อาละวาดจนมีผู้คนล้มตายไปนับหมื่นคน
<<นั่นคือภัยพิบัติครั้งแรกที่ซูฮยอนจำได้>>
ซูฮยอนเริ่มออกเดินไปหาหินอัญเชิญ
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ๆหินอัญเชิญ
พวกเขากลับเห็นมอนสเตอร์มากมายหลายตัว กำลังอยู่ล้อมหินอัญเชิญอยู่
ดูเหมือนพวกมันจะถูกอัญเชิญมาจากหินสีครามที่ตั้งอยู่จริงๆ
<<มอนสเตอร์พวกนี้มันถูกอัญเชิญมาจากที่ไหนกันแน่>>
ลีจุนโฮที่เดินตามหลังซูฮยอนมาติดๆบ่นพึมพำ
“ทะ..ทำไมมันเยอะขนาดนี้”
เมื่อตอนที่เขาอยู่ไกลๆ เขาไม่ค่อยเห็นมันชัดนัก
แต่พอเขาเดินมาใกล้ๆ
เขาก็รู้ทันทีเลยว่ามันเยอะมากๆ
เมื่อลองกะด้วยสายตา
พวกมันมีจำนวน ร้อยกว่าตัวได้
อึก
ลีจุนโฮกลืนน้ำลายแล้วทำจับดาบในมือไว้แน่น
ถึงแม้น้ำลายของมอนสเตอร์จะไหลลงเต็มพื้น
แต่โชคดีที่พวกมันไม่ได้กระโจนมาหาพวกเขา
“แกจะมองพวกเราไปอีกนายแค่ไหน”ซูฮยอนพูด
เมื่อเสียงของซูฮยอนเงียบลง
เงาสีดำตะคุ่มๆที่แอบอยู่หลังหินอันเชิญ ก็ก้าวออกมาอย่างช้าๆ
“หืม..รู้ด้วยเหรอ ทำไมพวกเราคุยกันไกลจัง เขยิบเขามาใกล้ๆกันหน่อยสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกดังลั่นไปทั้ว
เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความหล่อน
มันไม่เหมือนเสียงหัวเราะของคนปกติเลยสักนิด
เมื่อลีจุนโฮได้ยินเสียงหัวเราะของมัน เขาก็ก้าวถอยหลังไปอีก 2-3 ก้าว
ไม่สิ…ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะ
พลังเวทย์ของมันด้วยต่างหาก
“มะ..มนุษย์เหรอ”
มนุษย์ที่อยู่ในดันเจี้ยน?เนี้ยนะ
นี้เป็นครั้งแรกที่ลีจุนโฮมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
“ไม่ใช่ มันไม่ใช่มนุษย์”
ฟรึ่บ
ซูฮยอนสะบัดนิ้วของเขา ก่อนที่เปลวไฟจะลุกท่วมเหนือศีรษะของฝ่ายตรงข้าม
เปลวไฟลุกไหม้จนเสื้อคลุมที่มันสวมใส่เริ่มเปิดเผย
ทันทีที่ไฟมอดดับ พวกซูฮยอนก็เห็นหน้าตาที่แท้จริงของมัน
“คะ..คะ...โครงกระดูก”
“เสียมารยาท แกเรียนใครว่าโครงกระดูกไม่ทราบ” โครงกระดูกที่สวมเสื้อคลุมกล่าวอย่างอารมณ์เสีย
“ชื่อของข้าคือ ริชชี่ หวังว่าพวกแกจะเรียกกันถูกนะ”
เมื่อซูฮยอนได้ยินคำพูดของโครงกระดูก
เขาก็หัวเราะออกมาเบาแล้วกล่าว “แกคือริชชี่? ไม่...ฉันไม่เชื่อ แกมันก็เป็นแค่นักต้มตุ๋นเท่านั้นแหละ”
โครงกระดูหันไปมองซูฮยอนด้วยเบ้าตาที่ลึกโบ๋ว
เขาพยายามปล่อยพลังเวทย์ออกไป
เพื่อหวังขมขวัญให้ซูฮยอนกลัว
“เด็กน้อย แกรู้ได้ไง”
“ทำไมฉันต้องบอกแกด้วย?”
มันแนะนำตัวเองว่าเป็นริชชี่ แต่ซูฮยอนรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวจริง
ริชชี่ตัวจริงไม่ได้มีลักษณะเป็นแบบนี้แน่ๆ
ถ้าเป็นริชชี่ตัวจริงมันคงไม่ปรากฏตัวออกมาให้ลักษณะโครงกระดูกแน่ๆ
เพราะความปราถนาของริชชี่ตัวจริงคือ
มันอยากเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นมันจริงมีความสามารถพิเศษที่สร้างร่ายกายในใกล้เคียงกับมนุษณ์มากที่สุด
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าแกจะคิดยังไงกับเรื่องที่ฉันพูด แต่ว่า...”ซูฮยอนหรี่สายตาลงพร้อมกล่าว
“แกมันก็แค่คนหลอกลวง”
“อุ๊ป” ลีจุนโฮพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าซูฮยอนจะกล้าต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าโครงกระดูกนั้น
โครงกระดูกถึงกับพูดไม่ออก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอารมณ์ที่แปรปรวนของมันหรือป่าว
มอนสเตอร์รอบๆตัวของมันเริ่มคำรามออกมาอย่างดุร้าย
โฮกกกกก
เมื่อมอนสเตอร์นับร้อยต่างพากันคำรามลั่นทั่วดันเจี้ยน
ลีจุนโฮที่หัวเราะอยู่ก็หยุดชะงัก เขากระชับดาบให้มือไว้แน่น เพื่อรอการโจมตี
“อ่า..เอาจริงดิ..ฉันไม่น่าหัวเราะเลย”ลีจุนโฮพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกบนห่างตา
ซูฮยยอนไม่สนใจอาการของลีจุนโฮเลยสักนิด
เขาเอาแต่จ้องมองไปที่โครงกระดูกที่ยืนอยู่ข้างหน้า
<<มันเป็นผู้อัญเชิญสินะ>>
มันเป็นคนใช้หินอัญเชิญ เพื่ออัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาจากต่างมิติ
ผู้อัญเชิญที่แสนชั่วร้าย เป็นผู้ก่อโศกนาฏกรรมในเมืองเกาหลี จนทำให้ผู้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อ ต้องเสียชีวิตไปนับหมื่นคน
บัดนี้ผู้อัญเชิญกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
“ฉันของเวลา 3 นาที”
“ทำไม?”
“เถิดน่าแต่ 3 นาทีเอง”
“เดียวก่อนซูฮยอน..”
ถึงแม้ลีจุนโฮจะร้องไห้พร้อมกับตะโกนบอกซูฮยอนดังแค่ไหน
แต่ดูเหมือนซูฮยอนจะไม่หยุดเดินเลยสักนิด
เขาเดินไปหาผู้อัญเชิญที่ละก้าวสองก้าว
ในขณะที่ซูฮยอนกำลังเดินเข้าไปใกล้มันอย่างช้าๆ
พลังเวทย์ของผู้อัญเชิญก็ทวีความรุนแรงขึ้น
“ร่างกายของแก จิตวิญญาณของแก จะต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์"
“เหรอ จะเป็นแบบนั้นได้ ก็ต่อเมื่อแกเอาชนะฉันได้”
“หนุ่มน้อยร่างกายของแกดูเหนื่อยๆนะ”
ผู้อัญเชิญรู้..
“เด็กๆในดันเจี้ยนก็เปรียบเสมือนมือและเท้าของข้า หนุ่มน้อยแกต่อสู้กับลูกๆของข้าไปตั้งนาน แกไม่เหนื่อยมั้งหรือไง”
สภาพร่างกายของซูฮยอนตอนนี้ยังไม่พร้อมต่อสู้เลยจริงๆ
ถึงแม้ซูฮยอนจะแกร่งแข็ง แต่รอบๆตัวของผู้อัญเชิญยังมีมอนสเตอร์มากกว่า หนึ่งร้อยตัว รอเขาอยู่
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ....
“ถึงแม้ความแกร่งแข็งของฉันจะร่อยหรอเต็มที แต่ว่า...”
วิ้ง
ทันใดนั้นเองสภาพแวดล้อมของซูฮยอนก็พวยพุ่งด้วยความร้อนแรง
เมื่อเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น ผู้อัญเชิญก็ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ความร้อนของเปลวเพลิง ส่งผลร้ายแรงต่อเวทย์ความมืดโดยเฉพาะ
มันคิดมาตลอดว่าความแข็งแกร่งของซูฮยอนคงใกล้หมดแล้ว แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อผู้อัญเชิญเห็นปฏิกิริยาพลังเวทย์รอบๆตัวของซูฮยอน มันก็เกิดความกลัวขึ้น
ซูฮยอนเงยหน้าขึ้นไปมองมันแล้วพูด
“ถึงแม้ความแข็งแกร่งของฉันใกล้จะหมด แต่พลังเวทย์ของฉันยังเหลืออีกเยอะ”
ระหว่างทางที่พวกเขามาที่นี้ ซูฮยอนพยายามไม่ใช้พลังเวทย์ของตัวเอง
ก็เพื่อการนี้
[สกิลจำแลง : ใช้สกิลบ้าเลือด]
[สุขภาพของคุณอยู่ในระดับต่ำ]
[สุขภาพของคุณได้รับการฟื้นฟูชั่วคราว]
[ความแกร่งแข็งเพิ่มขึ้น]
[ความสามารถเพิ่มขึ้น]
ร่างกายของซูฮยอนค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสด
การหายใจของเขาเริ่มเสถียรขึ้น ร่างกายที่เคยอ่อนล้า เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ที่ซูฮยอนแบกรับร่างกายที่อ่อนล้ามาเป็นเวลานาน ก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ซูฮยอนในตอนนี้พร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว